เรื่องเล่า: ความหวังครั้งสุดท้าย


ถอดบทเรียนการช่วยเหลือผู้ป่วยระยะสุดท้ายในห้องแยกโรค แม้การรักษาจะไม่ได้ช่วยให้คนไข้หายหรือแข็งแรงขึ้นมาได้แต่ญาติก็ไม่ค้างคาใจว่าเราได้พยายามดูแลเขาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว

การสังเกตุเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเห็นเคสที่ต้องการการช่วยเหลือ


เมื่อต้นเดือนมีนาคม ปีที่ผ่านมาฉันได้มีเคสส่งต่อที่ตึก๓/๒อยู่รายหนึ่ง เป็นชายหนุ่มอายุ๒๙ปีเป็นผู้ป่วยเอชไอวีและสงสัยว่าจะเป็นวัณโรคดื้อยา ปัญหาที่ถูกส่งต่อคือเรื่องของความเศร้าซึม เคสนี้ฉันโชคดีมากที่เขาปรับตัวได้และอาการก็ดีขึ้น จนสุดท้ายในวันศุกร์ของสัปดาห์นั้นเขาจะได้ย้ายไปอยู่รักษาต่อที่ตึก๗/๖ 

ช่วงเช้าของวันศุกร์นั้นฉันจึงขึ้นไปเยี่ยมเคสก่อนที่เขาจะย้ายตึก.. ก่อนเข้าเยี่ยมเคสที่รับผิดชอบ ฉันเดินผ่านทางเดินเชื่อมระหว่างตึก๗และตึก๓ มองเห็นญาติสองคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้แถวสีส้มที่ตั้งอยู่ช่วงทางเดินด้านหน้าตึก เป็นผู้หญิงคนผู้ชายคนทั้งคู่อายุประมาณวัยกลางคนผิวคล้ำเข้มแต่งกายแบบชาวบ้านที่มาจากต่างจังหวัด  ทั้งสองมีสีหน้าที่ดูเศร้าสร้อยมาก ผู้หญิงกำลังนั่งร้องไห้อย่างเงียบๆ.. ฉันเก็บความสงสัยไว้ในใจ.. เข้าตึกไปทำงานจนแล้วเสร็จ จึงถามเกี่ยวกับญาติสองคนที่พบกับพี่พยาบาลประจำตึก๓/๒ว่าเป็นใครและมีอะไรเกิดขึ้น..พี่เมี่ยงพี่อ๋อยได้ช่วยเล่าเรื่องให้ฟังว่าเป็นพ่อและแม่เคสผู้ป่วยอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นPCP อาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักและพ่อแม่เพิ่งมาจากต่างหวัด และไม่รู้ว่ารู้หรือเปล่าว่าลูกเป็นอะไร..แล้วพี่ๆก็แซวว่าที่ตึกตอนนี้มีสามเคสป่วยแบบเดียวกันและอายุก็เท่ากันแต่ว่าเคสของฉันนั้นแข็งแรงกว่าสองเคสที่เหลือ ยังมีโอกาสได้ย้ายออกไปจากตึก ฉันเลยขออาสาที่จะเข้าไปพูดคุยกับญาติทั้งคู่ได้ข้อมูลอย่างไรแล้วจะมาปรึกษากับพี่ๆที่ตึกในภายหลัง

เปิดใจเพื่อเปิดประเด็น      

..ฉันเข้าไปคุยกับคู่พ่อแม่ที่พบเมื่อเช้า..คนเป็นแม่ก็ยังคงนั่งมีน้ำตาไหลอยู่อย่างเงียบๆ ฉันเข้าไปในนั่งใกล้ๆบนเก้าอี้ว่างที่ยังเหลืออยู่..แนะนำตัวเองว่าชื่ออะไรและทำงานอะไรอยู่ที่ในบำราศฯ ก่อนจะถามว่า ฉันเห็นลุงกับป้านั่งตรงนี้มานานแล้ว และป้าก็ร้องไห้อยู่ตลอดเวลา..มีอะไรเกิดขึ้น และมีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้บ้างไหม ฉันได้รับคำตอบจากคนที่เป็นแม่ว่าสงสารลูก ลูกชายคนเดียวของพวกเขาป่วยหนักและกำลังจะตาย..ฉันแสดงความเสียใจกับพวกเขา และถามถึงสิ่งที่ญาติอยากได้รับความช่วยเหลือ ณ ขณะนั้นว่ามีอะไรบ้าง เขาพูดถึงความรักและความดีที่มีอยู่ในตัวลูกชาย ส่วนใหญ่คนเป็นแม่จะพูดโต้ตอบกับฉันเนื่องจากพ่อจะพูดได้แต่ภาษาใต้แต่พอฟังภาษากลางออก ฉันเลยใช้อารมณ์ขันแทรกพอให้ลดความซึมเศร้าลงบ้างว่าฉันเองก็พูดภาษาใต้ไม่เป็นแต่พอฟังออกเพราะมีเพื่อนเป็นคนนครฯ(นครศรีธรรมราช) ป้าก็ส่งยิ้มบอกเบาๆว่าแกเป็นคนพัทลุงไม่ได้เรียนหนังสือ มีอาชีพทำนา มาที่บำราศฯนี่ต้องให้ญาติพามา เพราะมีคนบอกว่าลูกชายป่วยหนัก แกไม่คิดเลยว่าจะป่วยหนักขนาดนี้ เมื่อตอนเดือนมกราคม ลูกยังกลับไปหาไปเยี่ยมที่บ้าน และพูดเหมือนสั่งเสียว่าให้พ่อแม่รักกันให้ดีๆนะ..ฉันถามถึงผู้ป่วยว่าเขาเรียนหนังสือหรือทำงานอะไรอยู่ ญาติก็บอกว่าไม่รู้ รู้แต่ว่าลูกเรียนจบรับปริญญาไปสี่ห้าปีทำงานที่ต้องใช้ภาษาต่างประเทศ งานยุ่งมากแต่ถึงเทศกาลสำคัญก็จะส่งเงินและมาเยี่ยมพ่อกับแม่ที่ต่างจังหวัด ลูกชายแกเป็นคนเจ้าระเบียบและชอบทำบุญ..ฉันแสดงความเสียใจและเสียดายร่วมกับพ่อแม่อีกครั้ง แต่ก็ให้กำลังใจว่า ลูกของลุงและป้าเป็นคนดี เขาย่อมมีบุญหรือความดีที่จะคุ้มครองเขาให้ไปสู่สิ่งที่ดีๆอย่างแน่นอน.. ลุงกับป้าดูมีสีหน้าสงบลง

ช่วยร่วมคิดถึงสิ่งที่ผู้ป่วยและญาติต้องการอยากให้ช่วยเหลือและการส่งต่อกับทีม


 ฉันถามต่อไปถึงสิ่งที่ผู้ป่วยอาจห่วงกังวลหรือยังค้างคาว่ามีอะไรบ้างไหมเท่าที่พ่อกับแม่รู้..ป้าก็ร้องไห้ขึ้นมาอีกก่อนบอกว่า ก็อาจจะมี..ที่เขาเคยบอกว่าอยากบวชให้แม่..แต่เขาก็มาเป็นอย่างนี้เสียแล้ว..ฉันนึกถึงเรื่องเล่าของพี่อ้องพุฒิพรตึก๗/๓ที่เคยช่วยให้ผู้ป่วยชายคนหนึ่งได้บวชให้แม่ก่อนที่จะเสียชีวิต ฉันเลยพอเห็นแนวทางว่าจะช่วยพ่อแม่ลูกคู่นี้ได้อย่างไร ฉันเลยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเคสของพี่อ้องให้ลุงกับป้าฟัง ป้าหยุดร้องไห้และส่งภาษาใต้คุยกันกับลุง ลุงพยักหน้ารับบอกว่าช่วยหน่อยเถอะ..ก่อนจะคุยอะไรบางอย่างกับป้าเป็นภาษาใต้ ซึ่งป้าก็บอกกับฉันว่า อยากให้ฉันช่วยถามเจ้าหน้าที่ตึกว่าถ้าเขาอยากจะเข้าไปเยี่ยมและอยู่กับลูกข้างในห้องคนป่วยจะได้ไหม..ฉันบอกว่าจะถามให้ว่าจะต้องทำอะไรอย่างไร ฉันเข้าไปคุยกับพี่เมี่ยงพี่อ๋อยซึ่งได้รับคำแนะนำและการช่วยเหลือที่ดีว่า ถ้าญาติจะเข้าไปเยี่ยมผู้ป่วยในห้องแยกโรคควรมีการทำอย่างไร ทางตึกก็เพิ่งเข้าใจว่าทำไมญาติจึงแค่มายืนมองอยู่ที่ข้างหน้าต่างนอกห้องผู้ป่วย ฉันเลยขออาสาที่จะช่วยทำหน้าที่พาญาติเข้ามาเพื่อมาดูแลลูกของพวกเขาในระยะสุดท้าย..   

    ฉันกลับออกไปบอกพ่อแม่คู่นั้นว่า ทางตึกไม่มีปัญหาเลยที่จะให้พ่อแม่เข้าไปเยี่ยมและกล่าวบอกลาลูกชายในห้องคนเจ็บได้แต่อาจจะต้องมีการใส่อุปกรณ์และล้างมือก่อนและการเข้าเยี่ยมผู้ป่วยในห้อง ซึ่งเดี๋ยวฉันจะอยู่เป็นเพื่อนและสอนพ่อแม่ให้รู้วิธีการเอง 

  ฉันคุยกับพ่อและแม่อีกเลยน้อยเกี่ยวกับการช่วยเหลือที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในด้านของมิติทางจิตวิญญาณ โดยเฉพาะในกรณีของผู้ป่วยที่เป็นลูกซึ่งเจ็บหนักและใกล้จะจากไป สิ่งที่พ่อแม่จะช่วยให้เขาจากไปอย่างสงบสุขได้คือการยอมรับและการช่วยผู้ป่วยปล่อยวางความโกรธความทุกข์..ยอมให้อภัยต่อการจากไปก่อนวัยอันควรของเขา ฉันขอร้องให้พ่อแม่ช่วยพูดในสิ่งที่ดีและความประทับใจที่ดีที่พ่อแม่รับรู้ว่ามีอยู่ในตัวเขา เพื่อที่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นเหมือนดังอนุสติที่ชักนำใจของเขาไม่ให้หม่นหมองเกินไปเพื่อจะได้ไปสู่สภาวะที่ดี..พ่อและแม่คู่นี้รับปากว่าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกรักของเขาต้องจากไปอย่างบอบช้ำทางจิตวิญญาณ.

  .เราเข้าไปเยี่ยมผู้ป่วยในห้องแยกโรค ร่างกายผู้ป่วยถูกโยงด้วยเครื่องมือแพทย์ หายใจอย่างยากลำบาก พี่เมี่ยงเข้ามาช่วยดูแลด้วย บอกว่าบางครั้งก็พอมีสติอยู่บ้าง ฉันขออนุญาตพี่เมี่ยงว่าขอปลดที่ยึดแขนผู้ป่วยสักครู่เพื่อให้เขาและพ่อแม่ได้จับมือส่งต่อความรู้สึกถึงกันได้  ฉันเข้าไปกระตุ้นผู้ป่วยบอกว่า พ่อและแม่ของเขามาเยี่ยม อยู่ข้างๆตัวเขานี่เอง ผู้ป่วยลืมตาขึ้น พ่อและแม่ผวาตรงเข้าไปหาโอบกอดลูกชาย ปากระล่ำระลักพูดถึงความคิดถึงและความรักที่มีต่อเขา แม่บอกว่าไม่ต้องห่วงพ่อกับแม่นะ ทำจิตใจให้ดีนะเดี๋ยวแม่จะจัดบวชให้ลูกเองจะมีพระมาช่วยให้ลูกได้สมหวังแล้ว...ฉันช่วยยืนกรานคำพูดของแม่ให้ผู้ป่วยรับทราบอีกครั้งผู้ป่วยทำท่าทางขออะไรบางอย่าง พี่เมี่ยงบอกว่าผู้ป่วยต้องขอกระดาษ คงอยากบอกอะไรบางอย่างกับญาติ ในตอนนั้นเราทั้งหลายไม่มีใครติดกระดาษมา ฉันนึกขึ้นมาได้ว่ามีใบโอนเงินจ่ายค่าบัตรเครดิตค้างอยู่ในกระเป๋าแผ่นหนึ่ง ด้านหลังของมันว่างและพอที่จะใช้เขียนหนังสือได้ ฉันเลยยกให้ผู้ป่วยส่วนพี่เมี่ยงก็ช่วยหาปากกาที่พอมีอยู่ในห้องส่งให้..คนไข้มีอาการเหนื่อยหอบมากแต่เขาก็พยายามที่จะเขียนตัวหนังสือออกมา ในที่สุดเขาก็เขียนพออ่านเป็นคำได้ว่า”To mom รักแม่” ฉันกะพี่เมี่ยงแอบน้ำตาซึมๆ..

 ฉันช่วยอ่านสิ่งที่ผู้ป่วยตั้งใจเขียนให้พ่อแม่ได้รับรู้ เครื่องส่งเสียงดังบ่งบอกว่าผู้ป่วยเหนื่อยเกินไป เราจึงต้องออกจากห้องให้พี่พยาบาลช่วยดูแลต่อ ฉันยื่นใบกระดาษที่ผู้ป่วยเขียนแผ่นนั้นให้แม่เก็บเอาไว้ แกเอามากอดไว้แนบอกร้องไห้ออกมาเบาๆส่วนคนเป็นพ่อก็ทำตาแดงๆ ฉันรอจนทั้งคู่พอคลายเศร้าก่อนถามถึงพระและวัดเท่าที่ลุงกะป้าพอจะรู้จักเพื่อจะได้นิมนต์ท่านมาช่วยทำพิธีคล้ายจะขอบวชให้ผู้ป่วย ลุงและป้าส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้จักเลยและที่นั่งอยู่หน้าตึกไม่ไปไหนส่วนหนึ่งนอกเหนือจากห่วงลูกแล้วยังกลัวหลง ข้าวตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่ได้แตะเลยมันกินไม่ลง ญาติรีบพามาส่งแล้วบอกว่าค่ำเลิกงานจะมารับกลับ ฉันจึงคุยเกี่ยวกับอาการของคนป่วยว่ายังมีเวลาที่น่าจะนิมนต์พระมาเยี่ยมเขาได้อยู่ แต่ว่าลุงกะป้าจะต้องไปหาข้าวกินก่อนเดี๋ยวไม่สบายไม่สามารถอยู่ร่วมพิธีสำคัญได้นะ..ฉันเลยอาสาเป็นมัคคุเทศก์พาทัวร์โรงพยาบาลเพื่อให้รู้จักโรงอาหาร,ร้านค้าและห้องน้ำและเส้นทางเดินกลับมาที่ตึก

 ฉันบอกลุงกับป้าว่าตอนเย็นๆฉันจะมาเยี่ยมอีกและจะลองไปช่วยนิมนต์พระที่วัดพุทธปัญญาซึ่งอยู่ข้างๆกระทรวงฯมาให้ ลุงยกมือไหว้บอกขอบใจนะช่วยด้วยเหอะ ตอนเย็นก่อนเลิกงานฉันแวะไปเยี่ยมที่ตึก๓/๒อีกครั้ง พูดคุยเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วยทราบว่าอาการไม่ดีขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว..ฉันจึงเล่าเรื่องที่คุยกับสิ่งที่ตั้งใจจะทำให้แก่ผู้ป่วยและครอบครัวรายนี้ พี่ๆน้องๆที่ตึกต่างก็มีท่าทีตอบรับและให้ความร่วมมือดี

ได้เรียนรู้ถึงการจัดการด้านเอกสาร และความยืดหยุ่นตามสภาพการณ์ 

 ฉันนึกถึงผู้ป่วยอีกห้องว่าเป็นอย่างไรบ้าง ทราบว่ารายนี้เมื่อเช้าเกิดหยุดหายใจไปแล้วรอบหนึ่ง พญ.ปฐมาได้ช่วยฉีดยาแล้วแต่ว่าชีพจรก็ไม่ได้ดีขึ้นเหลือรอแต่เพียงพูดคุยทำความเข้าใจและขอลายเซ็นต์ยินยอมการไม่ช่วยกู้คืนชีพจากพ่อแม่

 เราก็เลยตามหาญาติที่เห็นว่ามาเยี่ยมผู้ป่วยอยู่เมื่อเช้าแต่พอสายๆไม่รู้ว่าไปไหน ได้ข้อมูลจากตึกเพิ่มเติมว่า แม่ทำใจยังไม่ได้บอกว่าขอให้พ่อเป็นคนตัดสินใจและเซ็นต์ให้แทน..ฉันขอเบอร์โทรคุยกับพ่อแม่ของผู้ป่วยที่ทางตึกมีอยู่ และได้พูดคุยกับแม่ผู้ป่วยทราบว่ากำลังเดินทางมาที่สถาบันพร้อมกันกับญาติ,ครูและเพื่อนของผู้ป่วยเพราะเขาเข้าใจดีว่าอาการของผู้ป่วยวิกฤติอย่างมาก ฉันเลยเดินจะกลับไปที่ตึก๗/๒เพื่อจะได้เตรียมตัวไปนิมนต์พระที่วัดพุทธปัญญา ระหว่างทางก็พบกับญาติที่เพิ่งจะโทรคุยกัน ฉันเลยได้กลับไปที่ตึก๓/๒เพื่อพูดคุยสำรวจปัญหาและความต้องการของครอบครัวผู้ป่วยรายที่สองนี้ ทราบโดยคร่าวๆว่าเขาเป็นลูกชายคนที่สองที่รักและสนิทกับแม่มากที่สุด ครอบครัวเองก็เพิ่งรับรู้เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของเขา ฉันแสดงความเสียใจกับครอบครัวที่กำลังจะต้องสูญเสียลูกและน้องชายที่น่ารักไป และยืนยันให้ครอบครัวได้รับทราบว่าทีมผู้รักษาและผู้ป่วยเองได้พยายามที่จะต่อสู้กับความเจ็บป่วยที่เผชิญอยู่อย่างเต็มที่แล้วแต่ก็สุดความสามารถแล้วจริงๆ ซึ่งญาติก็รับฟังอย่างสงบ ฉันขอยืมข้อมูลที่ได้รู้จากพี่พยาบาลประจำตึกเกี่ยวกับการตัดสินใจไม่ช่วยเพื่อกู้คืนชีพมาบอกเล่าซ้ำอย่างช้าๆให้กับครอบครัวได้เข้าใจและตัดสินใจ คนเป็นแม่บอกกับผู้เป็นพ่อให้ยอมรับและขอร้องให้ช่วยเซ็นต์ชื่อในเอกสารแทนเธอ..ฉันขอบคุณญาติที่ยอมรับและเข้าใจถึงความยากลำบากที่ต้องตัดสินใจในเรื่องนี้ พร้อมกับจะขออนุญาตลาออกไปนิมนต์พระ คนเป็นแม่ได้ยินคำว่าพระก็หยุดร้องไห้และถามฉันว่าช่วยนิมนต์เผื่อให้กับเขาด้วยได้ไหม..ฉันตอบรับ เมื่อเลิกงานฉันกลับไปเอารถจักรยานที่จอดไว้ใต้หอพักปั่นออกไปยังวัดพุทธปัญญา



หมายเลขบันทึก: 518602เขียนเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2013 23:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2013 21:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท