การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถือว่าเป็นความวิเศษของชีวิต เพราะเป็นสิ่งที่ได้มาอย่างยากลำบากแต่ทว่าโดยความเป็นชีวิตย่อมมีความซับซ้อนในตัวของมันเนื่องจากการที่เราจะเติบโตขึ้นมาเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ย่อมจะผ่านประสบการณ์ สิ่งแวดล้อมต่างๆ เป็นเสมือนบทเรียน หรือสิ่งที่ช่วยขัดเกลาทั้งในด้านบวกและด้านลบบางคนโชคดีเกิดมาบนกองเงินกองทอง แต่ใช่ว่านั่นจะเป็นเครื่องการันตีตัวตนของเขาหรือเป็นสิ่งบ่งบอกพฤติกรรมของเขาเองในอนาคตว่าเขาจะเป็นคนดี มันไม่ได้ตายตัวเหมือนสถิติหรือคำตอบทางคณิตศาสตร์ในการคำนวณว่า ๑+๑ =๒ หรือแม้แต่บางคนที่เกิดมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แย่ หรือการเลี้ยงดูที่ขาดแคลนขาดโอกาสที่ดีไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐแต่ใช่ว่าเขาคนนั้นจะให้ใครคนใดคนหนึ่งมาลิขิตชีวิตตนเอง คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกทางเดินที่จะเป็นคนดีและทำประโยชน์แก่สังคมได้ก่อนที่จะหมดลมหายใจเป็นไปตามกฎธรรมชาติ และสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญที่ทำให้คนส่วนมากเข้าใจร่วมกันว่า เมื่อมีแล้วจะทำให้ชีวิตมีความหมายมากขึ้นก็คือ ความรัก เพราะเรามักจะคิดว่าหากชีวิตนี้ขาดความรักไปแล้ว เราจะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไรด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงพยายามตามหาความรักเพื่อมาเก็บไว้ในอ้อมกอดของตนเอง แต่เมื่อเราตามหาสิ่งที่เรียกว่า ความรัก เรากลับพบว่ามันมีหลากหลายรสชาดเหลือเกินตามสิ่งที่ค้นพบ บางครั้งก็หอมหวานจนไม่อยากจากมันไป บางครั้งก็ขมขื่นจนไม่อยากพบเจอ บางช่วงช่างเจ็บปวดรวดร้าวมากจนทำให้เสียผู้เสียคนไม่อยากมีชีวิตอยู่ในโลกอันงดงามใบนี้นั่นเป็นเพราะมุมมองของความรักที่แต่ละปัจเจกบุคคลได้สัมผัสจริง แต่เหตุไฉนความรักจึงเป็นสิ่งที่ถวิลหาของบุคคลทุกยุคทุกสมัย นี่จึงเป็นสิ่งที่ต้องค้นหาและหาคำตอบเพื่อเป็นมุมมองที่หลากหลายแก่ผู้อ่านและผู้ที่มีความรักทุกท่าน ผมจึงขอนำเสนอข้อเรียบเรียงที่อ่านในหนังสือ สิ่งที่มีค่ามากกว่าความรัก ผู้แต่งชุติปัญโญ พิมพ์ครั้งที่ ๗ ปีที่พิมพ์ ๒๕๕๓
หัวข้อ "จากลาคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในความสูญเสีย"
การที่เราจะรู้จักว่าสิ่งใดมีค่า บางครั้งต้องอาศัยการเรียนรู้ที่ค่อนข้างยาวนานเป็นสิ่งที่ต้องเกาะติดไม่ให้ห่างถึงจะเข้าใจคุณค่าของสิ่งนั้น การทำความเข้าใจในชีวิตก็เช่นเดียวกัน เราเองก็ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายๆ อย่างเข้ามาเป็นบททดสอบเพื่อทำให้เราถูกกระตุ้นที่จะตื่นขึ้นมาดูว่ามีอะไรบ้างที่หล่นหายไปจากชีวิตของเรา สิ่งหนึ่งที่เป็นครูสอนชีวิตให้ฉลาดขึ้นทุกครั้ง หรือให้เข้าใจแจ่มชัดในสัจธรรมมากกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผ่านเข้ามาแล้วสามารถกระตุกตัวเราให้หยุดคิดได้นั่นก็คือ "การจากลาหรือความพลัดพราก" เพราะหากมองรอบตัวเราที่มีสิ่งต่างๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลานี้ จะเห็นได้ว่าหากมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจากลาหรือความพลัดพรากมาเยือน เรามักจะได้เห็นหยดน้ำตาของใครหลายคน เป็นเสมือนการบอกให้รู้ว่า "สิ่งนั้นมีความหมายต่อชีวิตเพียงใด" แต่หากรู้จักมองให้ไกลกว่านี้ การมองเห็นคุณค่าของการจากลาแล้วรู้จักที่จะรักชีวิตของตนเองและคนที่เรารักอย่างสนิทใจจะเห็นได้ว่าการเข้าถึงธรรมชาติของความเปลี่ยนแปลง คือสิ่งที่ช่วยเตือนสติของเรา และกระตุ้นให้ชีวิตมีพัฒนาการที่เติบโตอยู่ตลอดเวลา เพราะความจริงของการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นอายุขัยที่เปลี่ยนไป ความเจ็บไข้ที่มาเยือนหรือความตายที่มาแสดงว่าทุกอย่างได้ยุติบทบาทลง สิ่งเหล่านี้คือการจากลาที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากรู้จักมองเห็นว่านี่คือครูของกาลเวลาที่คอยสอนเราทุกขณะ เราผู้ชื่อว่าเป็นนักเรียนชีวิต ก็ควรที่จะเฝ้าถามตัวเองให้มากขึ้นเพื่อให้ครูช่วยตอบคำถามที่คาใจให้กระจ่าง ซึ่งทำให้เรามีความพร้อมที่จะศึกษาบทเรียนที่ยากขึ้นต่อไป แต่คนเราก็มักจะได้รับคำตอบก็ต่อเมื่อการจากลามาหมุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่หนักหน่วง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนถ่ายจากสิ่งเดิมเพื่อไปหาสิ่งใหม่ด้วยวิธีที่รุนแรง จนบางครั้งยากเกินจะรับมือไหว และความจริงก็มักสอนไว้เสมอว่าตราบใดที่เรายังจมอยู่กับความไม่รู้อีกทั้งไม่รู้จักกระตุ้นเตือนตนเอง ให้เป็นนักศึกษาชีวิตที่ดีตราบนั้นเราก็ต้องน้ำตาร่วงเสมอเมื่อเจอการจากลาเป็นเสมือนการตอกย้ำว่า หากไม่รู้จักใส่ใจที่จะดูแลชีวิตด้วยความรัก เราก็คงต้องตกเป็นเหยื่อของชีวิต โดยมีความพลัดพรากคอยหลอกหลอนจนวันตายเสมอ
เพราะชีวิตไม่ใช่สิ่งทดลองที่เราต้องลองแล้วลองอีกแล้วค่อยฉลาดขึ้น แต่ชีวิตเป็นสิ่งที่เปราะบางเกินกว่าที่จะนำไปกระแทกกับปัญหาต่างๆ นาๆ โดยที่ไม่มีปัญญาคอยชี้นำทางแต่อย่างใด แต่ชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าถนอมรักษาให้เกิดคุณค่าในทุกโมงยามของกาลเวลาโดยไม่ผลักไสให้เผชิญสภาวะที่เสี่ยงต่อปัญหาที่จะเข้ามาเกี่ยวพันแล้วทำให้ชีวิตบ่ายหน้าไปสู่หลุมแห่งความเลวร้ายเพราะชีวิตของเราไม่ต่างจากการเรียนวิชาหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ถ้วนถี่อาจเป็นวิชาที่ยากและมีความซับซ้อนกว่าวิชาอื่นแต่เมื่อขึ้นชื่อเป็นนักศึกษาแล้วเราก็ควรที่จะทำความรู้จักด้วยความใส่ใจกับมัน
เพราะเมื่อทำความคุ้นเคยกับชีวิตอยู่บ่อยๆ โดยมีสติคอยชี้นำแสงสว่างแห่งคำตอบมามอบให้เราย่อมมีโอกาสที่จะรู้จักกับชีวิตทั้งที่เป็นกายภายนอกและจิตใจภายในด้วยความเป็นมิตรที่มากขึ้น
เป็นการวิจัยเพื่อให้เราได้มองเห็นรายละเอียดที่ซ่อนอยู่ในนั้นและเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะยอมรับมันในสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรู้เท่าทันไม่ว่าสิ่งนั้นๆ จะมีจุดจบเช่นไร
ดังนั้นการรู้จักเรียนรู้คุณค่าของการจากลาทั้งในแง่ของการจากเป็นเพราะต้องพลัดพราก และจากการตายเพราะความสูญเสียถือว่าเป็นสิ่งที่เราต้องใส่ใจที่จะทำความเข้าใจอยู่บ่อยๆ
ยิ่งเราเข้าใจทั้งจุดเริ่มต้นของการเกิดขึ้น และจุดสิ้นสุดของการจากลามากเท่าใดเมื่อวันหนึ่งที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปและไม่ได้ดั่งหวังเราย่อมพร้อมที่จะรับรู้ด้วยใจเป็นกลางและพร้อมที่จะทำความรู้จักกับสิ่งใหม่ๆที่จะเกิดตามมา แล้วเราจะมีความสุขได้ในทุกมิติของการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าการจากลานั้นจะเวียนผ่านเข้ามาในชีวิตกี่ครั้งก็ตาม
การที่เราจะรู้จักว่าสิ่งใดมีค่า บางครั้งต้องอาศัยการเรียนรู้ที่ค่อนข้างยาวนาน เห็นด้วยค่ะ