เยือนยะลาพาสุขใจในอดีต...จากกันไปนานแสนนานไม่นึกเลยว่าจะเจอแต่ท้ายสุดเราก็เจอกันจนได้นี้แหละหนาโลกมันกลมครับ...ผมเข้าไปวัดพุทธภูมิ ในตัวเมืองยะลาเมื่อไม่นานมานี้...
ได้พบพระคุณเจ้ารูปหนึ่งลักษณะท่านมีความสมบูรณ์ทางร่างกายมาก...ผมไม่อยากบอกว่าอ้วน...คล้ายจัง ๆ หลังจากทักทายกันแล้วใช่เลย พระคุณเจ้านามเดิมชื่อ สิทธิพงค์จันทรัตน์ มาตุภูมิเป็นชาวยะลานั้นเอง...
สมัยอยู่กรุงเทพ ฯ เราเรียน ม.ศ. 4...ม. ศ. 5 ห้องเดียวกันที่ผมจำได้เพราะผมเคยเป็นหัวหน้าห้องครับ...หลังจากคุยกันก็ได้รู้ว่า ท่านพระครู ฯ เป็นเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดยะลา
ช่วยเป็นภารธุระทางด้านพระพุทธศาสนานา ๆ ประการ ทำให้ผมนึกถึงความเป็นเพื่อนที่เคยมีมา...ถึงแม้คนเราจะต่างเชื้อชาติศาสนา...ต่างเพศผิวพันธ์...เราก็เป็นเพื่อนกันได้ครับ...
แต่มีข้อคิดสะกิดใจจากคำกลอนที่ว่า...ผูกสนิทชิดเชื้อนี้เหลือยาก...ถึงเหล็กฟากตรึงไว้ก็ไม่มั่น...จะผูกด้วยมนต์เสกลงเลขยันต์...ก็ไม่มั่นเหมือนผูกไว้ด้วยไมตรี...
ถึงเพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย...ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา...เหมือนเกลือดีมีนิดหน่อยน้อยราคา...ยังดีกว่าน้ำเค็มเต็มทะเล ครับ...ฮา ๆ เอิก ๆ...
ยะลาในมุมมองของผม...เป็นเมืองน่าอยู่มาก...ชาวเมืองได้ทานปลาสดที่ส่งตรงมาจากปัตตานี...ทั้งที่ยะลาไม่ใช่เมืองท่า...มีผลไม้ทานตลอด...ผมชอบทานส้มโชกุนจากเบตงครับ...
ผมเคยเที่ยวชมพุทธสถานเช่น วัดหน้าถ้ำ...ขึ้นไปดูพระนอนที่อยู่ในถ้ำ สมัย พ.ศ. 1300 ปี และด้านหน้าทางเข้าจะเห็นยักษ์ตนหนึ่งสูงใหญ่น่ากลัวยืนอยู่...สำหรับองค์พระเดิมทีมีผู้เล่าให้ฟังว่าเป็นพระนารายณ์บรรทมสินธุ์...เกี่ยวข้องกันระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาฮินดู ครับ...
ช่วงที่ มอ .ปัตตานีจัดทอดกฐินสามัคคีก็มอบหมายให้ผมไปเป็นโฆษกงานวัดล่วงหน้าก่อนที่คณะองค์กฐินจะเข้าวัด...เช่นที่วัดทุ่งยามู อ. เมืองยะลาและวัดถ้ำทะลุ อ. บันนังสะตา เมืองยะลา เป็นต้น...
การช่วยเหลือสังคม...การคืนประโยชน์ให้กับสังคม...ล้วนเป็นความสุขใจทั้งนั้น...ผมเห็นความรู้รักสามัคคีของพี่น้องชาวพุทธที่นั้นแล้ว...ชื่นใจสุขใจครับ...กับมิตรไมตรีที่ดีงาม ...
ชาวพุทธพากันมาร่วมงานเป็นหมู่บ้านเลยครับ...ผมแปลกใจช่วงที่ทำหน้าที่โฆษก...คือพวกเขามามุงดูผมพูดครับ...บางคนคอยเอาน้ำมาส่งให้ดื่มกลัวเสียงผมแห้ง ฮา ๆ เอิก ๆ
เรื่องอาหารนี้อย่าบอกใคร...กินไม่หมดครับเยอะจริง ๆ...หวังไว้ว่าเมื่อเหตุการณ์สงบ...เราคงได้พบกันอีกนะครับ...ชอบอ่านบันทึกของอาจารย์ค่ะ และถ้าตอนอาจารย์เป็นโฆษกจะลีลาคล้ายๆที่เขียนในบันทึก ดิฉันก็คงไปมุงร่วมกับชาวบ้านด้วยนั่นแหล่ะค่ะ (แปลว่าไม่น่าแปลกใจค่ะ)
สวัสดีครับ คุณจันทรรัตน์
ขอบคุณครับที่ชอบอ่านบันทึกของผม...เป็นเรื่องเล่าที่ผมมีชีวิตเกี่ยวข้องอยู่ในช่วงขณะนั้นครับ...การจินตนาการ...นึกภาพ...กับความจริงอาจไม่เหมือนกันนะครับคุณจันทรรัตน์...ฮา ๆ เอิก ๆ
เช่น...ผมฟังวิทยุเสียงผู้พูดชวนให้อยากดูตัวเสียงไพเราะชื่นใจที่ได้ฟัง...แต่พอเห็นตัวจริงเสียงจริง...แหม...เหมือนผู้มาจากแอฟริกาเลย
แต่ก็น่ารักไปอีกแบบนะครับ...ทำให้ผมคิดถึงคติธรรมอย่างหนึ่งจากความชอบหรือไม่ชอบ คือว่า....ใครชอบใครชังชั่งเถิด...
ใครเชิดใครแช่งช่างเขา...ใครบ่นใครเบื่อทนเอา...ใจเราร่มเย็นเป็นพอ...ครับ ฮา ๆ เอิก ๆ
ขอบคุณครับ
จาก....umi