โค้ชส้ม Citrus
Miss. ปรีดิ์ฤทัย โค้ชส้ม ตั้งจิตญาณพัฒน์

Who am I ?



ครั้งแรกที่ได้ยินคนพูดถึง โปรแกรมนี้ ก็คือเพื่อนพนักงานคนหนึ่งที่สนใจเรียนรู้ด้านการรู้จักตัวเอง การช่วยให้คำแนะนำปรึกษาคนอื่น ก็สนใจ แต่พอบอกว่าใช้เวลา 5 วัน อคติก็เกิดขึ้นทันที ทำไมต้องใช้เวลานานขนาดนี้ ฉันจะลางานได้หรือ นี่คือเสียงที่เกิดขึ้นในใจ แล้วฉันก็คิดว่าฉันเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาเยอะแล้ว ตอนที่เข้า life coaching ขั้นสองที่อาศรมวงศ์สนิท ฉันได้รับการโค้ชจากวิทยากร จนฉันคิดว่าฉันมองเห็นคุณค่าในตัวเอง และเห็นเป้าหมายในอนาคตแล้วว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไร หลังจากวันนั้นฉันก็มีพลังชีวิตในการทำงานพัฒนาคน ที่จังหวะชีวิตเหมาะต่อการบ่มเพาะ องค์กรกำลังมุ่งเน้นเรื่อง soft side ฉันมีโอกาสหรือเวทีในการถ่ายทอดสิ่งต่างๆ เพื่อช่วยผู้คน

ต่อจากนั้น ไม่นานก็ไปเรียน life coach อีกสถาบัน อ.ที่สอนก็พูดถึงโปรแกรม Who am I ?คำนี้มารบกวนจิตใจฉันอีกแล้ว ในตอนเด็กคำถามนี้เคยผุดขึ้นมา ถามว่า “ฉันเป็นใคร ฉันไม่ใช่ตัวตนที่ฉันรู้จัก” “ฉันมาทำอะไรที่นี่”  (ไม่น่าเชื่อคำถามนี้ อยู่ในโปรแกรมนี้เช่นกัน)

ตอนที่ อ.พูดถึงโปรแกรมนี้ ฉันไม่ได้มีแรงบันดาลใจที่อยากจะเรียนสักเท่าไร อาจจะเป็นเพราะฉันรู้สึกว่า ฉันได้คลี่คลายปัญหาต่างๆ จนชีวิตฉันก็มีความสุขดีแล้ว แต่จู่ๆ ก็มีคนส่ง e-mail มาเล่าเกี่ยวกับหลักสูตรนี้อีก และฉันก็พบว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องการตัดสินใจ ในช่วงที่ฉันคิดว่า ฉันควรจะไปเรียนดีไหม ฉันใช้เวลาไตร่ตรองหลายวัน จนคิดว่าไปได้เพราะกำหนดเวลาเรียนช่วงนั้น ฉันไม่ติดสอนหรือมีประชุมสำคัญในปฏิทินส่วนตัว ฉันต้องใช้ความกล้าในการลาพักร้อน เพราะโดยปกติแล้ว ในชีวิตการทำงานไม่ค่อยจะได้ลาไปไหนในช่วงกลางปีสักเท่าไร

ในที่สุด วันนั้นก็มาถึงด้วยความตี่นเต้น รู้สึกแปลกใจ ทำไมอายุป่านนี้แล้ว ไม่รู้หรือว่าตัวเองเป็นใคร ในขณะเดียวกัน มีคนที่ฉันรู้จักที่บริษัทมาเข้าร่วมเรียนด้วย ซึ่งฉันกลัวว่าฉันต้องมาเปิดเผยตัวตนให้เขารู้จักฉันในแง่มุมอื่นที่ฉันอาจ จะไม่สบายใจที่จะแบ่งปันเรื่องราว

ต่างๆ อย่างเต็มที่

  และแล้ว วันที่ 10 ก.ค. ฉันขับรถจาก กทม.ประมาณห้าโมงเย็น ฉันมาถึงมูลนิธิคุณพ่อเรย์  คณะพระมหาไถ่ พัทยา ซึ่งเป็นที่ที่ตอนแรกฉันไม่อยากมา ฉันเบื่อการขับรถ แต่เมื่อมาถึงประมาณ 19 นาฬิกา ฉันมาเป็นคนแรกถัดจากคุณพ่อวิเชียร  คุณพ่อที่ฉันเห็นในรูปถ่ายเป็นชายสูงอายุ แต่งชุดธรรมดาแบบสุภาพทั่วๆ ไป ไม่ได้ใส่ชุดนักบวช  ทำให้แปลกใจ และมีอคติ วาดภาพว่า การมาเรียน อาจจะเชื่องช้าน่าเบื่อ นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างของกรอบความคิดเดิมๆ

ฉัน ได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ พาไปยังห้องพัก อยู่ชั้น 4 บรรยากาศยามเย็นค่ำ ดีมากๆ ฉันตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะตื่นแต่เช้า  ฉันสัมผัสถึงความสงบ และศักดิ์สิทธิ์

ณ สถานที่แห่งนี้ ฉันเดินไปที่ดาดฟ้าตากผ้า มองออกไปโดยรอบ ทำให้ฉันเห็นโบสถ์เหมือนวัดไทย ก็งงอยู่เหมือนกัน ว่าเป็นวัดคริสต์แบบไหนกันแน่

คืนนั้นไม่ได้ทำอะไร ได้ยินเสียงคนเริ่มทยอยเข้าพัก แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครบ้าง ได้แต่นอนฟังเสียง

คน เดินไปมา ดันไปเลือกห้องที่ตรงกับลิฟท์พอดี  ห้องพักเป็นห้องที่เล็กมาก ผิดกับโรงแรมที่ฉันพักประจำที่ระยอง แต่ก็มีทีวี ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า ผ้าขนหนูให้อาบน้ำ ตามมาตรฐาน มีเตียงเล็กๆ เตียงเดียว ที่นอนสบาย ที่นอนสะอาดใช้ได้

เช้าวันแรกฉันตื่นมาเดินหาห้องอาหาร ขณะนั้นเกือบเจ็ดโมงเช้า แล้วฉันก็ได้รับการทักทายจากคุณพ่อวิเชียร แม้จะพบกันครั้งแรก ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในการทักทาย ปราศรัย อย่างใจดี เป็นกันเอง ประทับใจที่เห็นคุณพ่อโทรไปตามห้องพัก เพื่อเชื้อเชิญให้ผู้เรียนลงมารับประทานอาหารเช้า ท่านทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่น่ารักมาก

เมื่อถึงเวลาเริ่มเรียน ผู้เรียน 10 คน เป็นเพื่อนกันมาเป็นคู่ ส่วนใหญ่เป็นหญิง 8 คน มีผู้ชายเพียง 2 คน ซึ่งเป็นคนที่ฉันรู้จักอยู่แล้ว ทั้งคู่

คุณพ่อเริ่มแนะนำตัว แนะนำให้รู้จัก PRH (Personalite’ ET Relations Humaines) ซึ่งเป็นคำย่อจากภาษาฝรั่งเศส เพราะต้นกำเนิดคือ คุณพ่อ Andre’ Rochais (1921-1990) เป็นชาวฝรั่งเศส และนี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกเราอ่านเอกสารในช่วงต้น ไม่ค่อยจะเข้าใจ เพราะเป็นการแปลจากภาษาฝรั่งเศสเป็นอังกฤษ แล้วจึงมาเป็นไทย พวกเราไม่คุ้นทั้งคำศัพท์ที่ใช้ กว่าจะคุ้นเคย ก็ต้องผ่านไป 2-3 วัน

วัตถุประสงค์ของการเรียน Who am I? เพื่อค้นพบความจริงสำคัญที่รวมกันเป็นตัวบุคคลหนึ่งๆ เข้าใจตัวเองดีขึ้น รู้จักวิธีที่จะทำให้ตัวเองก้าวหน้า ในความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง

กระบวน การอบรม จะเน้นให้ทำ GPA (Guidelines for Personal Analysis) เป็นการวิเคราะห์ตัวเอง โดยตั้งเป็นคำถามให้ตอบจาก Life Experience ที่ต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกลึกๆ ของตนเองจริงๆ ไม่ใช่ความคิด แต่มันเป็นความจริงของผู้ตอบ

อีกอันที่ทำให้ฉันติดจากการอบรม ครั้งนี้   เมื่อก่อนเวลาจะพูดหรือเขียน มักติดคำว่า “เรา” แต่ที่นี่ต้องฝึกตนเองใหม่ด้วยการเขียนและแบ่งปันในห้องด้วยคำว่า “ฉัน” คุณพ่อบอกว่า อย่าดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง

ตัวฉันเองคุ้นเคยกับการ แบ่งปัน ฉันคิดว่านั่นเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน ฉันไม่รู้สึกลำบากใจที่จะเปิดเผยธาตุแท้ของฉันให้คนในห้องรู้จัก เพราะฉันคิดว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัย และใช้เยียวยารักษาบาดแผลในชีวิตร่วมกัน

ใน ระหว่างอบรมจะมีขั้นตอนสำคัญแค่ 3 อย่าง คือ เขียน GPA แบ่งปัน แล้วจึงได้อ่านเอกสารเกี่ยวกับเรื่องที่เราเขียนไป  คุณพ่อมีขั้นตอนการสอนที่เป็นมาตรฐานของสถาบันนี้อยู่แล้ว เป็นกระบวนการที่นำพาให้เราไปรู้จักกับองค์ประกอบในบุคคล ซึ่งมี 5 ศูนย์ ได้แก่ ธาตุแท้ สติปัญญา ร่างกาย ความรู้สึก มโนธรรมลึกซึ้ง และสภาพแวดล้อมทางวัตถุ สภาพแวดล้อมทางบุคคล ซึ่ง สภาพแวดล้อมมีผลกระทบอย่างมากต่อการเติบโตของธาตุแท้ของเรา

ในบรรดาศูนย์ที่อยู่ในตัวบุคคล ธาตุแท้มีความสำคัญที่สุด แต่ มักถูกสติปัญญานำพาไปให้ไขว้เขว สับสน นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้จักตัวเราดีพอนั่นเอง  ฉันชอบที่เขาสร้างมโนภาพ ให้เราเปรียบเทียบธาตุแท้ของเรา เป็นเมล็ดพันธุ์ ที่มีอยู่มากมาย แต่ละเมล็ด เติบโตเป็นต้นที่แข็งแรงไม่เท่ากัน บางเมล็ดก็ยังฝังตัวอยู่ไม่โผล่ขึ้นมาให้เห็น บางครั้งอาจจะรอเวลา หรือสภาพแวดล้อม ดินฟ้า อากาศที่เหมาะสม เมล็ดนั้นจึงจะมีโอกาสเติบโตได้

อีกประเด็นที่ฉันสงสัย เมื่อได้ยินคำว่า “ธาตุแท้” ฉันคิดว่าหลายคนคงคิดเหมือนกัน ว่าคนทั่วไปมักพูดถึงคำนี้ในเชิงลบ เช่น “ฉันเห็นธาตุแท้ของเธอก็วันนี้เอง”  คุณพ่อตอบว่า ในความคิดเดิมฉันอาจจะรู้สึกเช่นนั้น แต่สำหรับในบริบทของ PRH คำว่า “ธาตุแท้” คือสิ่งที่เป็นด้านสว่าง ความเป็นสิ่งที่ดีในตัวมนุษย์แต่ละบุคคล

การอบรม ใช้เวลากับเรื่องของธาตุแท้ หรือ Being มากที่สุด ต้องเขียน GPA 12 เรื่องไปพร้อมๆ กัน ช่วงเวลานำสิ่งที่ตัวเองเขียนมาแบ่งปัน เป็นเวลาที่ฉันชอบมาก ฉันเรียนรู้จากเรื่องของเพื่อน รู้จักคนจากสิ่งที่เขาพูด มีบางคนที่ไม่ชอบแบ่งปันก็มี ทำให้ฉันไม่รู้จะคุยกับเขาอย่างไร โอกาสที่จะได้คุยกับคนที่เป็นเพื่อนใหม่ในช่วงสองวันแรก ยังมีน้อย ตัวฉันเองก็ยังเขิน ตะขิดตะขวงใจกับเรื่องที่นำมาเล่า ไม่มีรอบไหนเลยที่ฉันจะละเว้นโอกาสในการพูด เพราะฉันอยากให้คุณพ่อช่วยให้ความเห็น หรือคำแนะนำ ระหว่างที่แบ่งปัน คุณพ่อใช้สมาธิ ตั้งใจฟัง ให้เกียรติกับเรื่องของผู้เรียนทุกคนมาก สิ่งที่ประทับใจอีกอย่างคือ คุณพ่อบอกว่า ระหว่างที่ผู้เรียนทำกิจกรรม ไม่ว่ากิจกรรมใดๆ ก็ตามคุณพ่อจะทำไปพร้อมกับพวกเรา เพื่อเป็นเพื่อนทุกคน ให้อยู่ในคลื่นอารมณ์ความรู้สึกเดียวกัน

  สิ่งที่น่าประหลาดใจโดยส่วนตัวของฉัน ตั้งแต่วันแรกคุณพ่อพูดถึง Being ที่ตั้งอยู่ตรงท้องน้อยใต้สะดือ ฉันรู้ว่านี่คือตันเถียนล่าง ตามหลักชี่กง คือแหล่งเก็บพลังงานที่สำคัญ ฉันจะรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานที่วิ่งอยู่ในตัวฉัน โดยเฉพาะฉันรู้สึกร้อนที่ท้อง คุณพ่อบอกว่า นี่คือ สัญญาณที่แสดงออกมาว่า เรากำลังเอาใจใส่เขาอยู่   แต่อีกกิจกรรมตอนที่พูดถึงการค้นหาธาตุแท้ในการผ่านเหตุการณ์ที่ยากลำบาก ฉันรู้สึกใจสั่น แน่นหน้าอก เหมือนกินกาแฟแรงๆ คุณพ่อบอกว่าเป็นเพราะความทุกข์ที่มีในใจมันยังไม่หมดไป พอคุณพ่อพูดเช่นนี้ฉันรู้สึกโล่งใจไปเยอะ ด้วยความเข้าใจตัวเอง

การค้นหาธาตุแท้

มี ด้วยกัน 7 ช่องทาง ได้แก่ การวิเคราะห์ชีวิตด้านความสัมพันธ์  ความสามารถที่จะรักและบุคคลที่ทำให้เราปลื้มหรือประทับใจ  การอุทิศตัวของเราทุ่มเทให้กับอะไร  ค่านิยมส่วนตัว ความยากลำบากในชีวิตเราผ่านมาอย่างไร ความฝันของเราคืออะไร ประสบการณ์อื่นๆ มีอีกไหมที่ทำให้เราค้นพบตัวเอง

ฉันชอบกิจกรรมเหล่านี้มาก จะมีช่วงเวลาให้แต่ละคนออกไปหา my space ที่ชอบนั่งนิ่งๆ อยู่คนเดียวเงียบๆ มาทราบภายหลังบางคนไม่นั่ง เดินไปมา ไม่ต้องหลับตามก็ได้ ให้ฟังเสียงตัวเองจากข้างใน ได้ยินเขาพูดอะไร มีภาพใดผุดขึ้นมาบ้าง คุณพ่อให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า หาเวลาทำแบบนี้บ่อยๆ พบประสบการณ์บวกหรือลบให้จดบันทึกไว้

หลังจบธาตุแท้ ดูเหมือนเรื่องที่เหลือไม่มีอะไรน่าหนักใจ การเริ่มต้นในวันที่สามของการอบรมยังอยู่กับ Being ในช่วงเช้า แล้วตามด้วยสติปัญญา วันอบรมวันที่สี่ เรียนรู้ศูนย์ร่างกายกับความรู้สึก และมโนธรรมลึกซึ้ง

ในหัวข้อของมโนธรรมลึกซึ้ง จะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจที่สำคัญ โดยปกติ การตัดสินใจที่ผ่านมา เราใช้วิธีการใดในการตัดสินใจ ในการเรียนครั้งนี้ ฉันได้เห็นกระบวนการตัดสินใจที่แยบยล สามารถนำไปใช้ได้ เขาว่าไว้ว่า จะต้องมีการสอบถามทั้งสี่ศูนย์ ได้แก่ ธาตุแท้ สติปัญญา ความรู้สึก ร่างกาย สุดท้าย มโนธรรมลึกซึ้งจะเป็นคนรวบรวมข้อมูลและให้ข้อสรุปว่าให้ go ahead หรือไม่ หลายคนทึ่งหรืองึด ตามภาษาลาว คือ ประหลาดใจ

ที่เล่ามาเป็น ภาคของการเรียนรู้ในห้องทั้งวัน ไม่น่าเชื่อว่า เรื่องราวต่างๆ ดึงดูดฉันได้ไม่รู้จักเบื่อกับกิจกรรมที่ดูเหมือนมี pattern ซ้ำเดิมๆ แต่ฉันอยู่กับมันได้ด้วยความสนุก ในคืนวันที่สามและสี่ ฉันสังเกตเห็นผู้เรียนจับกลุ่มคุยกันช่วงหัวค่ำแถวโซฟาหน้าห้องเรียน เพื่อเรียนรู้ชีวิต ปัญหา การให้คำแนะนำ กำลังใจซึ่งกันและกัน ในคืนที่สามฉันเข้าไปพบคุณพ่อเป็นการขอคำปรึกษาส่วนตัวหนึ่งชั่วโมง ฉันยังไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนในห้องเรียน จนวันที่สี่ ฉันเริ่มเห็นการเปิดเผยความในใจที่มีต่อกันอย่างทั่วถึง มีโอกาสได้เห็นความน่ารักของแต่ละคน มันทำให้ฉันรู้สึกอิ่มเอมใจ และใจหายเมื่อคิดว่าพรุ่งนี้วันสุดท้าย เราก็จะจากกันแล้ว โดยเฉพาะกับคุณพ่อฉันรักท่าน เป็นห่วงท่านมาก เพราะท่านมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับอาปา ของฉันมาก ฉันมีเรื่องประหลาดใจเกิดขึ้นมากมายในการมาอบรมครั้งนี้จนแม้กระทั่งในเช้า วันสุดท้าย เพื่อนๆ ในห้องน่ารักมากที่สุด

ในวันสุดท้ายเป็น mission ที่มาเรียนครั้งนี้ แต่ละคนต้องเขียนว่าจะกลับไปพัฒนาตัวเองอย่างไรให้ก้าวหน้าตามวิถีทางของตัว เอง ซึ่งต้องเขียนอีก 3 GPA ในกิจกรรมนี้ถูกจริตฉันมาก คุณพ่อให้คำแนะนำว่า ต่อไปนี้ไม่ว่าพวกฉันจะไปดูหนัง อ่านหนังสือ ฉันเพิ่มเติมอีกว่าเรียนรู้อะไร จะต้องทำเหมือนใน GPA9.2 ที่ถามว่าฉันได้ยินเสียงเรียกอะไรบ้างจาก Being หรือธาตุแท้ ที่จะดำเนินชีวิตตามเจตคติ 5 ประการเพื่อความก้าวหน้า จากนั้นต้องเขียนออกมาว่ามีแรงจูงใจให้ทำอะไรต่อไป อันนี้เรียกว่าบันทึกเพื่อการเติบโต  กิจกรรมสุดท้ายของการอบรมเขียนว่าค้นพบอะไรจากห้าวันนี้  สิ่งที่ยังคงสดใหม่มีชีวิตชีวา (คงหมายถึงสัมผัสได้ชัดเจนกับอะไร) และได้รับประโยชน์อะไรบ้าง  

จากเรื่องที่เล่า ยังมีอีกเรื่องที่น่าสนใจ ตามการเรียนรู้ใน PRH เพื่อนๆ ให้ความสนใจกับม้าเต็งตามคำศัพท์ของคุณพ่อ หมายถึง Essential  Course of Action นั่นก็คือหน้าที่ที่มนุษย์ที่เกิดมาแต่ละคนต้องหาให้เจอ ว่าเกิดมาเพื่อทำหน้าที่สำคัญอะไร ถ้าหาเจอ จะทำให้พัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าสนับสนุนภารกิจนี้ไปโลด คุณพ่อบอกว่า Who am I? ยังไปไม่ถึงตรงนั้น แต่ก็อาจมีบางคนเห็นแล้วว่าเป็นอะไร

ก่อนที่จะ จากพวกเรานัดหมายกันว่าต้องกลับมาพบกันเพื่อพูดคุยเหมือนการ Follow up สิ่งที่แต่ละคนค้นพบ นำไปปฏิบัติอย่างไรบ้าง นอกจากนั้นพวกเราเห็นพ้องว่าชื่นชม เคารพรักคุณพ่อมากๆ

ท่าน เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ฉันต้องจารึกเพิ่มในชีวิต ว่าเป็นบุคคลที่ทำให้ฉันประหลาดใจ และสร้างแรงบันดาลใจเป็นอย่างมาก ท่านเหนือความคาดหมายของฉันจริงๆ  นอกจากนั้นฉันขอบคุณน้ำใจอันดีงามของเพื่อนร่วมชั้นเรียน ที่ฉันซาบซึ้งอย่างยิ่ง ฉันดีใจหากการแบ่งปันของฉันเป็นประโยชน์กับเพื่อนร่วมห้อง ขอให้รับทราบว่าฉันก็ได้เรียนรู้ จากการแบ่งปันของเพื่อนร่วมห้องเช่นเดียวกันทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ฉันสนุกและประทับใจกับการเรียนในครั้งนี้จริงๆ ขอบคุณ เก๋ และ อ.จิมมี่ที่ช่วยทำให้รู้จัก PRH-Who am I ? ฉันจะนำกลับมาใช้และทำให้ความฝันของฉันเป็นจริง


คำสำคัญ (Tags): #Who am I ?#PRH
หมายเลขบันทึก: 518172เขียนเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2013 21:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2013 21:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

น่าสนใจมากเลยครับ ผมพึ่งทราบนี่เองว่าประเทศไทยเรามีสถานที่อบรมและฝึกปฎิบัติเช่นนี้ครับ ช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ผมเริ่มศึกษา Christian Meditation มากขึ้นเพื่อเปรียบเทียบกับ Buddhist Meditation ครับ เดี๋ยวผมคงต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรมนี้แล้วครับ

ขอบคุณที่แบ่งปันครับ

คุณธวัชชัยคะ ใน Facebook จะมีกลุ่ม PRH Thailand แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นกลุ่มปิด หรือเปิดค่ะ ลองดูนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท