เป็นการนั่งชมหาดทรายในหนังสือ อี-บุ๊ก นั่งชมที่สนามหน้าบ้านยามเช้าที่อากาศเย็นสบายอย่างที่สุด
ต้นเรื่องมาจาก ผศ. กัลยาณี พรพิเนตพงศ์ แห่งคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ขอไว้เกือบสามเดือนแล้ว ให้เขียนคำนิยมแก่หนังสือในชุดหาดทรายเล่มใหม่ ชื่อ ข้อเสนอเชิงนโยบาย : แนวทางการฟื้นฟู การใช้ประโยชน์หาดทราย และการอนุรักษ์
เธอบอกว่าขอภายในเดือนธันวาคม เพราะต้องการให้หนังสือออกหลังฤดูมรสุม ซึ่งผมเดาว่าคงจะราวๆ เดือนกุมภาพันธ์ หรือมีนาคม ๒๕๕๖ ผมจึงรีรอเรื่อยมา จนถึงวันสุดท้าย ๓๑ ธันวาคม จึงอ่านต้นฉบับซึ่งมีเพียง ๔๒ หน้า อ่านแล้วเกิดปิติ ว่าทีมงานทีมนี้ทำงานวิจัยและขับเคลื่อนการอนุรักษ์หาดทรายแบบกัดไม่ปล่อย ทำงานต่อเนื่องและขยายเครือข่ายออกไป อย่างน่าชื่นชม
เพื่อประกอบความคิดในการเขียนคำนิยม ผมจึงกลับไปอ่านหนังสือหาดทราย ๒ เล่มที่ผ่านมา ที่ผมก็เขียนคำนิยมให้ คือ หาดทราย : มรดกทางธรรมชาติที่นับวันจะสูญสิ้นกับ หาดทราย ... คุณค่า ... ชีวิตที่ถูกลืม
เมื่อเปิดหนังสือเล่มแรกแบบผ่านๆ พบรูปที่หน้า ๑๐ เป็นกลุ่มคนกำลังเล่นที่ชายหาดสมิหลา ฉากหลังเป็นเกาะหนู พลันความรู้สึกระลึกถึงชีวิตสมัยอยู่ที่หาดใหญ่ และผมชอบพาครอบครัว ซึ่งตอนนั้นลูกยังเล็กๆ อยู่ ไปพักผ่อนที่ชายหาดสงขลาก็พลุ่งขึ้นมา ให้ความรู้สึกมีความสุขอย่างประหลาด รวมทั้งได้มรณานุสติด้วย ว่าวันเวลาเหล่านั้นมันผ่านมานานมากแล้ว นานกว่า ๑ ชั่วอายุคน เพราะลูกๆ ตอนนี้เขาอายุเท่าหรือมากกว่าอายุของผมสมัยพาลูกไปพักผ่อนที่ชายหาดสงขลา
แม้ผมจะได้อ่านหนังสือทั้ง ๒ เล่มนี้อย่างพินิจพิเคราะห์หลายเที่ยว ก่อนจะเขียนคำนิยม แต่เมื่ออ่านซ้ำในวันนี้ ผมก็พบประเด็นที่ผมไม่เคยตระหนักอีกหลายประเด็น ทำให้ผมตระหนักในข้อจำกัดของตนเองอย่างชัดเจน ว่าสิ่งต่างๆ ที่ผ่านประสาทสัมผัสต่างๆ ของผมนั้น ผมรับรู้ได้เพียงส่วนน้อย แม้ผมจะได้ชื่่อว่าเป็นคนสมองดี เรียนเก่ง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดมาก สิ่งที่ไม่รู้มีมากกว่าสิ่งที่รู้อย่างเทียบกันไม่ได้ เมื่อสัมผัสสิ่งใด ก็รับรู้สิ่งนั้นได้เพียงบางส่วน ซึ่งเป็นส่วนน้อย
เมื่ออ่านคำนิยมที่ผมเขียนให้แก่หนังสือทั้ง ๒ เล่ม ผมรู้สึกว่าผมเขียนได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อว่าผมจะเขียนได้ ความรู้สึกนี้เคยเกิดนานกว่า ๓๐ ปีมาแล้ว เมื่อผมอ่ายรายงานผลการวิจัยที่ผมเขียนลงวารสารเมื่อกว่า ๑๐ ปีก่อนหน้านั้น ทำให้ผมคิดว่า คนเราเมื่อมีสมาธิ จิตจดจ่อ สามารถผลิตผลงานที่มีคุณภาพสูงอย่างไม่น่าเชื่อได้ นี่คือพลังสร้างสรรค์ของความเป็นมนุษย์ ที่ใครเข้าถึงได้ ชีวิตก็จะมีคุณค่า และผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเข้าถึงได้ หากหมั่นฝึกฝนเคี่ยวกรำตนเอง
หาดทรายเป็น “รอยต่อ” ที่หากมองแบบผิวเผิน ก็เห็นเป็นรอยต่อระหว่างพื้นน้ำ กับผืนดิน แต่จริงๆ แล้ว หาดทรายเป็นรอยต่อที่ล้ำลึกกว่านั้นมาก เป็น “รอยต่อ” ที่มีความเป็นพลวัต หรือมีชีวิต มีปัจจัยที่หลายหลาย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ที่รอยต่อนี้ เป็นพื้นที่แห่งดุลยภาพและอดุลยภาพที่อยู่ด้วยกันในเวลาเดียวกัน
พื้นที่รอยต่อเป็น “พื้นที่แห่งพลัง” มีพลังลี้ลับหรือศักยภาพแฝงอยู่ ทั้งที่เป็นพลังสร้างสรรค์ และพลังทำลาย
ณ พื้นที่แบบนี้ การกระทำ (หรือไม่กระทำ) เพียงเล็กน้อย อาจก่อผลยิ่งใหญ่ได้ ที่เรียกว่า butterfly effect ดังนั้นกิจกรรมของมนุษย์บางรูปแบบที่หาดทราย ที่เรามองเป็นเรื่องเล็ก อาจก่อผลใหญ่หลวงต่อการดำรงอยู่หรือการทำลายหาดทรายได้
ข้อความในหนังสือเล่มใหม่ ข้อเสนอเชิงนโยบาย : แนวทางการฟื้นฟู การใช้ประโยชน์หาดทราย และการอนุรักษ์ ที่ผมชอบอย่างยิ่ง คือการชี้ให้เห็นว่า แนวทางที่ผิด หรือมิจฉาทิฐิ คือสู้กับธรรมชาติส่วนสัมมาทิฐิ คืออยู่ร่วมกับธรรมชาติ เป็นการละจากกระบวนทัศน์เอาชนะธรรมชาติในทุกกรณี เป็นอยู่ร่วมปรองดองกับธรรมชาติในกรณีที่ซับซ้อนและเป็นพลวัต
การเอาชนะธรรมชาติเป็นโลกทัศน์ตะวันตก การอยู่ร่วมกับธรรมชาติเป็นโลกทัศน์ตะวันออก ต้องรู้จักใช้ให้เหมาะสมกับกาละเทศะ
การ “ชมหาดทราย” ในวันนี้ เป็น “หาดทรายในจินตนาการ” เป็นส่วนใหญ่ ร่วมกับหาดทรายในภาพ แต่ก็ได้สุนทรียรส และปัญญรสไปพร้อมๆ กัน นำไปสู่จินตนาการว่า หากสภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศดำเนินต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว จนระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจากระดับปัจจุบัน ๑ เมตร สภาพของหาดทรายที่มีอยู่ในปัจจุบันจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ทำให้คิดต่อไปว่า ระบบนิเวศหาดทรายยังเป็น micro-ecology เมื่อเทียบกับภาวะการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศของโลก ที่เป็นระบบ macro-ecology
วิจารณ์ พานิช
๓๑ ธ.ค. ๕๕
การชมหาดทรายวันนี้..ของท่าน.คง..ทำให้..ผู้อ่านหลายๆๆๆ...ได้พบ..สัจจธรรม...เจ้าค่ะ...ยายธี
สาระจากคำนิยมที่อาจารย์กรุณาเขียนให้กับหนังสือหาดทรายทั้งสามเล่ม เป็นข้อความที่ทรงคุณค่ามากค่ะ ข้อความของอาจารย์ช่วยให้เกิดความแจ่มชัดเกี่ยวกับพลวัตและความมีชีวิตของหาดทรายด้วยข้อความสั้นๆได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเป็นพระคุณอย่างสูงต่อการขับเคลื่อนเพื่อการอนุรักษ์หาดทราย