เรารู้กันดีอยู่เเล้วว่ากการที่สังคมหนึ่งๆผู้คนจะสามรถอยู่ร่วมกันได้อย่างมปกติสุขนั้นย่อมต้องประกอบไปด้วยการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน การเข้าใจซึ่งกันและกัน เห็นอกเห็นใจกัน เเละทุกคนต้องเคารพในกฎระเบีบยของสังคมที่เราอยู่ ซึ่งในเรื่องการเข้าใจกันของบุคคลที่อยู่ร่วมกันในสังคมนั้นเป็นเรื่องที่ถือว่าละเอียดอ่อนมาก หากผู้คนในสังคมมีความคิดที่เเตกต่างกันเมื่อไหร่ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดคิดเสียเเต่ว่าความคิดของตนถูกฝ่ายเดียว ความเเตกต่างที่เกิดขึ้นย่อมเป็นจุดเริ่มต้นของความแตกแยกที่จะตามมา
หลายครั้งที่สังคมอันบอบบางของเราถูกทำลายลงไปเพราะความคิด ความคิดที่เเตกต่างนั้นใช่จะเป็นต้นเหตุเพียงอย่างเดียว เพราะทุกคนย่อมมีสิทธิ์ที่จะคิด มีสิทธิ์ที่จะเเสดงความรู้สึก ความคิดเห็น หากแต่อีกฝ่ายที่รับฟังความคิดเหล่านั้นใช้อคติในการรับสารนั้นหรือไม่ ใช้ตัวเองเป็นเกณฑ์ในการตัดสินคนอื่นหรือเปล่า หรือคิดเพียงเเต่ว่าทุกคนต้องทำทุกอย่างให้เหมือนที่ใจเราต้องการ นั้นหละค่ะบ่เกิดของการเเตกแยกในสังคมจริงๆ เราลองคิดเล่นๆดูว่าในสังคมขนาดเล็ก(ครอบครัว) เมื่อเรามีความคิดต่างเกิดขึ้นบางครั้งก็จบลงด้วยการทะเลาะ บางครั้งก็จบลงด้วยการเข้าใจที่ดี ในสังคมขนาดใหญ่เเน่นอนว่าทุกคนย่อมไม่สามารถทำอะไรให้ถูกใจคนทุกคนได้เมื่อความคิดต่างเกิดขึ้นหากขาดการยอมรับเเละรับฟังความคิดเห็นกันความขัดเเย้งก็จะตามมาเเน่นอน ซึ่งในบางครั้งเหตุการณ์อาจรุนเเรงไม่ส่งผลกระทบเพียงตัวบุคคลเเต่อาจส่งผลต่อสังคมวงกว้างได้
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิด มีเสรีภาพที่จะเเสดงความคิดเห็นในมุมมองของแต่ละคนขอเพียงเเต่สิ่งที่คิดเเละทำนั้นอยู่ในกรอบที่เหมาะสมเเละที่สำคัญต้องหัดที่จะยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นก็ควรให้เหตุผลที่ดีในการตัดสิน อย่าใช้เพียงอคติหรือความชอบของตนตัดสิน เเค่นี้สังคมก็จะน่าอยู่มากขึ้นเเล้วค่ะ
ไม่มีความเห็น