6 |
ช่วงอายุ 3-4 ขวบ ปองภพก็เล่นๆ เรียนๆ เขียนๆ อ่านๆ โดยเฉพาะการเขียนนั้น เขามักจะเขียนในรูปแบบ
ฉันไม่ไปโรงเรียน
ฉันเขียนหนังสือ
ฉันอ่านหนังสือ
ฉันอยู่บ้าน
ฉันมีพ่อมีแม่
ซึ่งเป็นการนำคำมาเขียนให้เป็นประโยคธรรมดา ไม่ได้ซ่อนความคิดอะไรในเรื่องราวที่เขียน เขียนเสร็จก็อ่าน อ่านแล้วก็ออกไปเล่นเป็นอยู่อย่างนี้เอง แต่พออายุย่างเข้า 6 ขวบ ปองภพเริ่มเขียนแบบซ่อนความคิดอยู่ในเนื้อหาของเรื่องนั้นๆ แม้แต่คำที่นำมาใช้เด็กน้อยก็รู้จักคำที่แสดงพลังของคำนั้นๆ มาเขียนบอกเรื่องราว เช่น
ผมไม่ไปโรงเรียน
ผมเรียนอยู่ที่บ้าน
ผมชอบบ้านเรียน
ถามว่ามีใครสอนไหม ตอบว่าไม่ เพราะเด็กคนนี้ไม่ชอบใครมาชี้แนะว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ เขาต้องการอิสระทางความคิด ก่อนทำเขาจะคิด ดูเหมือนเขาเล่น เพราะเห็นเขายกนั่นวางนี่ ถามว่าทำไมไม่เขียน เขาตอบว่า “เดี๋ยวก่อน กำลังคิดอยู่” พอคิดได้เขาก็จะเขียน คำที่นำมาเขียนจะมีคำแปลกอยู่ เช่น บ้านเรียน ซึ่งเป็นคำที่ใช้อยู่ในหมู่พวกที่จัดการเรียนการสอนแบบHome School แต่ปองภพนำมาเขียนอาจจะมาจากคำว่า “เรียนอยู่ที่บ้าน” ก็ได้ หรือเขาคงได้ยินได้ฟังมาจากที่ไหนก็ได้ แต่ที่น่าสนใจคือ ปองภพหยิบคำนี้มาใช้เป็น นี่คือคุณสมบัติที่ต้องการจะให้เกิดในตัวผู้เรียน
ยังมีกลอนเปล่าอีกบทหนึ่งที่ปองภพเขียน ชื่อสายรุ้ง อ่านแล้วดูเหมือนธรรมดา แต่ที่มาที่ไปน่าสนใจมาก เด็กน้อยเขียนว่า
วันนี้
ผมฉีดน้ำใส่กำแพง
เกิดแสงสายรุ้ง
งานเขียนชิ้นนี้ ปองภพเขียนบอกเล่าภาพความจริงที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ปองภพเล่นฉีดน้ำจากสายยางล้างกำแพงบ้าน ฟองฝอยน้ำกระทบแสงแดดเป็นสายรุ้ง เขาดีใจมาก วิ่งเข้าไปในบ้านแล้วเขียนงานชิ้นนี้ออกมา หลังจากนั้นเขาก็อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องรุ้งในน้ำ แล้วเขาก็ได้เรียนรู้เรื่องราวของรุ้งกินน้ำ พฤติกรรมอย่างนี้แสดงว่าปองภพเกิดการเรียนรู้ทั้งวิธีการเรียนรู้ และเนื้อหาสาระที่ควรจะรู้ ซึ่งจะก่อให้เกิดความรู้สึกดีๆ ต่อการเรียนรู้ขึ้นมาในภายหลัง
งานเขียนของปองภพช่วงนี้ เขามักจะเขียนสิ่งที่เขาเห็นมาให้ผู้อ่านอ่าน คำง่ายๆที่เขานำมาเรียงร้อยเล่าเรื่องราวดูแล้วมันง่ายแต่น่าอ่าน
ท้องฟ้าสีขาว
ตื่นนอนตอนเช้า
ฟังข่าว กินข้าว
บางครั้งเด็กน้อยเขียนจากความรู้สึกสะเทือนใจ บอกเล่าความคิดที่เขามีต่อเพื่อนของเขาว่า
พีท เพื่อนของผม
พ่อของพีทตายแล้ว
ผมสงสารพีท
ความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาภายหลังที่เห็นน้ำตาของเพื่อน ในขณะที่ปองภพอายุ 6 ขวบ เรียนรู้ภาษาไทยได้ไม่มากนัก แต่สามารถเขียนเล่าความรู้สึกตนเองให้ผู้อื่นอ่านได้อย่างนี้ ผมยอมรับว่าเขาเก่ง
ผมชอบอ่านกลอนเปล่าและบทกวีของเซน เช่น บทกวีบทหนึ่งของบาโช (กวีญี่ปุ่น) ที่เขียนว่า
ดอกไม้ทั้งหลายตายไปสิ้น
เหลือแต่ความเศร้า
นอนอยู่กับเมล็ดหญ้า*
ผมชอบคำว่า ตาย และ นอน คำสองคำนี้สะดุดใจผม ทำให้ผมมองลึกเข้าไปในคำว่า ดอกไม้ทั้งหลาย มันไม่ใช้ดอกไม้ธรรมดา แต่มันมีความหมายลึกกว่า ผมมองเห็น ความดีงาม คนดี เยาวชนผู้ใฝ่ดี เขาเหล่านี้ได้ตายไปแล้ว คงทิ้งความนิ่งให้ซบนิ่งอยู่กับเมล็ดหญ้า คือ ผู้เขียนบทกวี คือ บาโช ผมตีความอย่างนี้
จากหนังสือเรื่อง : ฉันคือหินยา ค่ารัดสาดจุฬา : คณะรัฐศาสตร์.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : จัดพิมพ์. |
และบทกวีอีกบทหนึ่งที่เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูรณ์ นำเสนอไว้ในหนังสือ เรื่อง “มุมที่ไม่มีเหลี่ยม”
ใบไม้
กำลังร่วงหล่น
พลิกหงาย
พลิกคว่ำ
ถ้าอ่านแบบตีความก็จะได้อารมณ์อีกแบบหนึ่ง ถ้าอ่านธรรมดาจะเห็นว่า กวีใช้คำง่ายๆ แต่อ่านแล้วมองเห็นภาพ อ่านแล้วรู้สึกว่ามีสายลมพัดเบาๆ โชยมาต้องผิวกาย ในขณะที่ใบไม้ที่กำลังร่วง พลิกคว่ำ พลิกหงายอยู่ และอีกบทหนึ่งที่เขียนว่า
อย่างสงบลึกล้ำ
กบเหม่อมอง
ขุนเขา*
นี่ก็นำคำไม่กี่คำมาวางไว้ใกล้ๆ แต่ได้จังหวะ ทำให้มองเห็นภาพ ความเงียบที่ยิ่งกว่าเงียบ กบปล่อยใจอิสระ ทอดสายตาสู่ภูผาข้างหน้า ชวนให้นึกถึงยามที่เราอยู่ในอารมณ์สมถะ จิตนิ่งมั่นคงปราศจากสิ่งใดมารบกวน
เมธา เมธี กวีชาวใต้ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สามารถนำคำน้อยมาเรียงร้อยเป็นเรื่องราวที่ซึมลึกเข้าไปในหัวใจ เช่น
คนดี- คนเลว
เมืองไทย
คนดีดี
ยังมีอยู่อีกมาก
แต่หายาก
คนเลวเลว
แม้มีอยู่ไม่มากนัก
แต่พบเห็นได้ง่าย**
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูรณ์ มุมที่ไม่มีเหลี่ยม. (พิมพ์ครั้งที่หนึ่ง). กรุงเทพฯ. จตุจักรการพิมพ์ มปพ. |
หิว
ฉันหิว
เธอก็หิว
พ่อก็หิว
แม่ก็หิว
น้องก็หิว
ครอบครัวฉันหิวกันทุกคน***
คำว่า “หิว” คำเดียวที่ เมธา เมธี นำมาใช้นั่นสามารถบ่งของผู้อ่านที่มีอารมณ์ร่วมให้เป็นอย่างดี และในบทกวีที่ชื่อว่า “คนดี-คนเลว” นั้นชัดเจนมาก เมธา เมธี เขียนบอกอย่างตรงไปตรงมา และเป็นความจริงในสังคมบ้านเมืองเราทุกวันนี้ที่คนเลวเลวมีน้อยแต่หาได้ไม่ยาก
หนังสือที่นำมาอ้างอิงทุกเล่มผมเก็บไว้ให้ปองภพอ่านเมื่อถึงเวลาที่เขาจะอ่าน
อ่านเป็นเล่มได้ที่ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น