4 |
แล้วปองภพก็เรียนอยู่ที่บ้าน
แม่ของปองภพเปิดโอกาสให้ลูกเรียนแบบ
1. เรียนจากเรื่องที่รู้แล้วสู่เรื่องที่จะรู้ต่อไป
2. เรียนจากสิ่งที่ทำได้แล้วฝึกทำสิ่งที่จะต้องทำต่อไป
3. เรียนจากเรื่องง่ายๆ แล้วค่อยๆ ยากขึ้น
4. เรียนจากเรื่องใกล้ตัวสู้เรื่องไกลตัว
5. เรียนจากเรื่องที่เป็นรูปธรรมสู่เรื่องที่นามธรรม
6. เรียนจากเรื่องที่อยากเรียนสู่เรื่องที่ต้องเรียน
7. เรียนแบบเล่นแล้วรู้เรื่องที่ต้องเรียน
8. เรียนแบบบูรณาการ
สำหรับแกนหลักของสาระที่เรียนคือ อ่าน เขียน พูด คิด ไทย อังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเรียนรู้ชีวิตเพื่อชีวิตที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสงบสุข
การเรียนรู้ชีวิตนั้นอาศัยหลักธรรมพุทธศาสนาที่ปองภพพอจะปฏิบัติได้ ซึ่งก็ปฏิบัติอยู่บ้างแล้ว คือ ดูจิต แม้จะเป็นการเริ่มต้น ฝึกหัด ฝึกฝน ฝึกปรน ก็จะเกิดบารมีกล้าแข็งขึ้นมาได้ ดังนั้นเมื่อเด็กน้อยทำอะไรลงไป สิ่งที่เขาจะต้องทำก็คือ “ดูสิว่าดีไหม เพราะเหตุใด” นั่นคือปองภพต้องพิจารณาตนเอง ว่าการกระทำนั้นดีชั่วอย่างไร เขาจะต้องบอกได้อย่างมีเหตุผลที่จะเป็นกลางไม่ใช่เข้าข้างตนเอง นั่นคือ การฝึกหัด ปองภพรู้จักการประเมินตนเองเป็นเบื้องต้น ถ้าทำไปๆ บ่อยๆ เขาก็จะเข้าใจถึงประโยชน์ของการประเมินตนเอง เมื่อเห็นประโยชน์ เขาก็จะนำมาใช้การประเมินตนเอง แบบนี้ถ้าเข้าถึงก็จะเห็นธัมวิจย ที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะให้พุทธสาวกหมั่นประพฤติปฏิบัติ โดยการหมั่นน้อมจิตดูว่า “คิดดี คิดร้ายอย่างไรให้รู้ รู้จนถึงที่สุด จนจิตพัฒนาตนเอง จากผู้คิดเห็น ผู้ดู ผู้รู้ เมื่อจิตเป็นผู้รู้ ตรงนี้แหละ เราเรียนรู้ตนเอง โกรธรู้ ดีใจรู้ ชอบรู้ หลงรู้
การประเมินตนเองที่ครูให้ประเมินผลการเรียน การทำแบบฝึกหัดนั้นเป็นการประเมินภายนอก ถ้าการประเมินนั้นมุ่งการแข่งขันก็จะยิ่งสร้างตัวกูของกูมายิ่งขึ้น แต่ถ้าฝึกให้ผู้เรียน น้อมใจ เข้ามาดูจิตตนเองเนืองๆ จิตจะลดความเป็นตัวกูของกูลงไปได้ นั่นคือผู้สอนจะต้องสอนทั้งการประเมินภายนอก(จิตใจ) และการประเมินภายใน (จิตใจ) นั่นคือจะต้องสอนทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป แม้จะยากก็ตามแต่จงนึกถึงคำที่ว่า “น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน”
คำถามที่ผู้สอนหรือพ่อแม่ผู้ปกครองลองถามเด็กๆ ภายหลังที่เขาทำกิจกรรมเสร็จแล้วหรือก่อนที่จะทำกิจกรรม คือ ทางแห่งการฝึกให้เด็กๆ รู้จักประเมินตนเอง เช่น ถามว่า
1. “ดีไหม ทำไม” ถามภายหลังที่เขาทำกิจกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดเสร็จแล้ว เด็กอาจจะตอบว่า ดีหรือไม่ดีก็ได้ แต่เราจะต้องถามย้ำไปว่า ทำไม เพื่อให้เขาใคร่ครวญหาเหตุผลมาเสริมคำตอบ ที่ตอนแรกอาจจะตอบแบบคิดน้อยไป ถ้าย้ำว่า ทำไม เขาจะต้องครุ่นคิดหาคำมาตอบ ยิ่งเด็กครุ่นคิดหาคำมาตอบเราได้มากเท่าไร เกณฑ์การประเมินผลจะชัดเจนยิ่งขึ้น
2. “เป็นอย่างไร ทำไม” ถามความรู้สึกที่ผู้ประเมินจะต้องคิดตอบลึกกว่า ดีไหม คิดละเอียดขึ้น
3. “น่าจะถูกต้องไหม” ถามให้เขาหาเหตุผลมารองรับความถูกต้องของการกระทำ ผู้ตอบต้องอ้างกฎเกณฑ์เหตุผล มาประกอบคำตอบที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น
4. “สิ่งที่รายงานมานั้น มีความน่าจะเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด รู้ได้อย่างไร” การประเมินขั้นนี้ยากขึ้นมาอีก ผู้ตอบจะต้องมองเป็นเป้าหมายงานเห็นชัดจึงจะตอบได้ตรงประเด็น ถามอย่างนี้ฝึกไปเรื่อยๆ จะช่วยให้เด็กๆ มีเหตุผล มีเป้าหมายในการสร้างงานชัดเจนขึ้น
5. “ความคิดเห็นที่แสดงออกมานี้ตรงประเด็นมากน้อยเพียงใด” ถามเพื่อฝึกให้เด็กผู้ตอบย้อนคิดถึงคำตอบของตนเอง ตรวจสอบกับประเด็นคำถาม ซึ่งปัจจุบันนี้เราจะพบเห็นได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ที่นักข่าวถามอย่างหนึ่ง แต่ผู้ตอบตอบไปอีกอย่างหนึ่ง ฝึกให้ผู้เรียนวันนี้รู้จักประเมินผลการตอบคำถามหรือนำเสนอเรื่องราวให้ตรงประเด็น ฝึกให้เป็นเด็กที่ดีวันนี้ เพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่ดีจริงๆ ในวันหน้า
การฝึกให้ผู้เรียนรู้จักประเมินตนเองจะช่วยให้เขารู้จักการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดวิพากษ์วิจารณ์ คิดสรุปผล ประเมินค่า คิดแปรความและตีความได้ในที่สุด ซึ่งผู้ถามจะต้องฝึกถามจากคำถามให้ผู้เรียนประเมินผลเรื่องง่ายๆไปสู่เรื่องค่อยยากขึ้นๆ จากเรื่องที่รู้แล้วไปสู่เรื่องที่รู้เพิ่มขึ้นๆ ผู้สอนอย่ากลัวว่าผู้เรียนจะประเมินไม่เป็น จงสอนวิธีการประเมินตนเองให้เขารู้จักการประเมินตนเอง โปรดสอนให้เขาเรียนรู้ทุกข์จากทุกข์ที่เขากำลังทุกข์
นี่คือการเรียนรู้ชีวิตด้วยการแสวงหาจากชีวิต
ยังมีการประเมินตนเองอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อเรียนจบการเรียนนั้นหรือกิจกรรมนั้นๆแล้ว ควรให้ผู้เรียนประเมินว่า “ได้เรียนรู้อะไรบ้าง” และ “มีวิธีการเรียนรู้แบบใด” คำถามทั้ง 2ข้อนี้จะช่วยให้ผู้เรียนมองย้อยพฤติกรรมการเรียนมาตั้งแต่ต้นว่า ตนมีพฤติกรรมต่อการแสวงหาความรู้แบบใด เพื่อจะมาตอบว่า
1. ได้รู้ว่าการเข้าขอความรู้จากผู้รู้นั้นต้องมีสัมมาคารวะ
2. ความนอบน้อมถ่อมตนจะช่วยให้ผู้รู้เมตตาถ่ายทอดความรู้ให้เราได้มากตรงตามที่ท่านรู้
3. การหาความรู้จากสื่อสิ่งพิมพ์นั้น ผู้เรียนจะต้องมีเป้าหมายชัด จะต้องตั้งคำถามย่อยให้หลากหลายเพื่อค้นหาความรู้สู่เป้าหมายได้ตรงตามที่วางไว้
4. ความรู้ที่นอกเหนือจากคำถามที่วางไว้ ต้องจดบันทึกไว้ แล้วนำมาประมวลกับความรู้ที่ได้จากคำถามจะเป็นความรู้ที่รู้เพิ่ม
5. ความรู้ที่มาจากหลากหลายแหล่งเรียนรู้นั้น ย่อมมีความเหมือนและความต่างกัน ถ้าเรารู้จักประมวลจะสามารถสร้างสรรค์ความรู้ที่ดีได้
6. ความรู้สึกต่อการเรียนรู้ครั้งนี้
จะเห็นได้ว่า ถ้าผู้เรียนบันทึกรายงานการเรียนรู้ โดยมีประเด็น วิธีการเรียนรู้ ความรู้สึกต่อการเรียนรู้ และ ความรู้ที่สืบค้นมาได้ โดยมีการวิเคราะห์ แปลความ ตีความด้วยแล้วเรียบเรียงได้ดี รายงานชิ้นนี้จะเป็นเอกสารองค์ความรู้ที่น่าสนใจมาก
รุสดี มากา เคยเขียนบอกผลการเรียนของเขาว่า
ผมรู้แล้วว่า ปัญหาหนึ่งๆ ถ้าเราค้นหาคำตอบจากหลายที่จะมีข้อแตกต่างกัน เมื่อนำสิ่งที่รู้นั้นมาเขียนเชื่อมโยงกันก็จะเป็นเรื่องราวที่น่าอ่าน แปลกใหม่ และมีความรู้มากขึ้น ผมชอบวิธีการเรียนอย่างนี้ครับ |
เป็นคำพูดที่ถ่ายทอดเป็นลายลักษณ์อักษรแบบง่ายๆ ซื่อๆ ตรงไปตรงมา แต่มากด้วยคุณค่า ผมเชื่อว่า นี่คือ Deep knowledge ของรุสดี นี่คือ Enduring Understanding ของเขา มันเป็นความฝังใจที่ฝังลึกในบึ้งจิตของรุสดี เขาจะจดจำวิธีการเรียนรู้ เรื่องราวที่ได้เรียนรู้ และความรู้สึกลึกๆ นั้นได้นานเท่านาน แต่ถ้าขาดการกระตุ้นให้ผู้เรียนรำลึกถึงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มา เขาก็จะเรียนแล้วผ่านไป ถ้ากระตุกให้ผู้เรียนย้อนคิดถึงพฤติกรรมการเรียนและสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มา เขาจะต้องน้อมใจรำลึกความหลังแบบเรียกว่า คิดถึงอดีตชาติกันเลย การโยนิโสมนสิการ จะช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกและรู้สึก รู้จริง รู้แจ้งในเรื่องนั้นๆ ผมมองว่าการย้อนถามว่า “ได้เรียนรู้อะไรบ้าง” เป็นการประเมินตนเองที่ส่งผลให้เห็นถึงรากลึกของความรู้ที่ผู้เรียนได้มา นำมาประมวลเป็นเรื่องราวบันทึกเป็นตำราเรียนของเขา ก็จะเป็นองค์ความรู้ของเขา
อ่านเป็นเล่มได้ที่ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น