เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2556 กองส่งเสริมการวิจัยและบริการวิชาการ ร่วมกับสถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน โดยกลุ่มงานอนุรักษ์เอกสารโบราณ ได้มีโอกาสต้อนรับคณะผู้ศึกษาดูงานจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช จำนวน 40 รูป/คน ซึ่งเป็นนักศึกษาจากหลักสูตรพุทธศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ณ วัดมหาชัย (พระอารามหลวง) อ.เมือง จ.มหาสารคาม
การมาเยือนครั้งนี้ เกิดขึ้นจากเครือข่ายการเรียนรู้ในโลกแห่ง Gotoknow.org โดยแท้ เพราะผมได้รับการประสานจากอาจารย์ ดร.อุทัย เอกสะพัง (ยูมิ)
ลดขั้นตอนผ่านการประสานใจ
ในระหว่างการติดต่อประสานงานกับ ดร.อุทัย เอกสะพัง (ยูมิ) ผมลดทอนขั้นตอนในระบบราชการลงเกือบทั้งกระบวนความ เน้นการพูดคุย ถามทักถึงเจตนารมณ์ ไม่บีบแน่นด้วยระบบเอกสารหนังสือเสียเท่าไหร่ เพราะหากรอเอกสาร กว่าจะผ่านระบบคณะ กว่าจะลงนาม กว่าจะส่ง กว่าจะแฟกซ์คงใช้เวลามากโข
ด้วยสัมพันธภาพแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ผมไม่กังขา ผมจึงนำเรื่องการดูงาน หรือการทัศนศึกษาเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปสู่การ “บอกกล่าว” (เน้นครับว่าเป็นการบอกกล่าว หาใช่รายงาน) ต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อให้รับทราบและเปิดไฟเขียวให้ผมและทีมงานได้มีโอกาสจัดกระบวนการรับรองคณะกัลยาณมิตรที่เดินทางมาจากภาคใต้
ผมว่านี่แหละคือผลพวงแห่งการพบพานกันในโลกของการเรียนรู้ (G2K) ที่ผมเคยพร่ำพูดว่า “ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติขาดไม่ได้” มิอะไรก็แบ่งปัน เกื้อหนุน ไปมาหาสู่ทั้งโดยถ้อยคำอักษรใน Blog และการเยี่ยมเยียนแบบ “ตัวต่อตัว” ผ่านมิติแห่งวาระต่างๆ
ดร.อุทัย เอกสะพัง (ยูมิ)
ประสานงานเครือข่าย “พระเอกตัวจริง”
ดร.อุทัย เอกสะพัง (ยูมิ) สื่อสารถึงประเด็นการศึกษาดูงานครั้งนี้ โดยพุ่งประเด็นไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่อง “วิถีพุทธกับวัฒนธรรมอีสาน” ซึ่งกำหนดให้ผมเป็นผู้บรรยาย หรือนำเสนอข้อมูล ผ่านกลไกของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
นอกจากนั้นยังรวมถึงการประสงค์จะพูดคุยในเรื่องระบบการเรียนการสอนในแบบบูรณาการที่ผมรับผิดชอบ นั่นก็คือโครงการ 1 หลักสูตร 1 ชุมชน และ 1 คณะ 1 ชุมชน อันเป็นมิติใหม่ของมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่ปฏิรูปการเรียนการสอนผ่าน “ภารกิจหลัก 4 ประการ” (4 In 1) คือ สอน วิจัย บริการวิชาการและทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
แต่เพื่อประโยชน์อันสูงสุดของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผมตัดสินใจประสานงานไปยัง ดร.ราชันย์ นิลวรรณาภา (รองผู้อำนวยการสถาบันศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน) เพื่อหารือในกระบวนการที่เกี่ยวข้อง
ครับ, นี่เป็นอีกครั้งของการทำงานร่วมกับเครือข่ายในแบบกึ่งทางการ ไม่ติดยึดกับระบบมากมายจนทำงานกันลำบาก ซึ่งที่สุดแล้วก็เข้าหารือเป็นการภายในร่วมกับ รศ.วีณา วีสเพ็ญ (ผู้เชี่ยวชาญพิเศษในด้านการอนุรักษ์เอกสารโบราณฯ) และคณะทำงานในกลุ่มงานอนุรักษ์เอกสารโบราณ เพื่อจัดวางรูปแบบและจัดแต่งทีมงานในแบบ “ร่วมด้วยช่วยกัน”
ผมตัดสินใจเลือกประสานกับคณะทำงานชุดนี้ เพราะเห็นผลงานเชิงประจักษ์อันยิ่งใหญ่ในการขับเคลื่อนแหล่งเรียนรู้ในวัดมหาชัย (อารามหลวง) ผ่านโครงการ 1 คณะ 1 ชุมชน ซึ่งหนุนเสริมให้พิพิธภัณฑ์คัมภีร์โบราณพระอริยานุวัตรเขมจารีนุสรณ์เป็นรูปธรรมและทรงพลังอย่างใหญ่หลวงต่อการเป็นแหล่งรวม “มรดกวัฒนธรรมของชาวอีสาน” ในมิติของคัมภีร์ใบลาน โดยโครงการดังกล่าวได้ขับเคลื่อนต่อเนื่องมาเป็นระยะๆ มีกระบวนการนำชุมชนเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อวางรากฐานให้เกิดแหล่งเรียนรู้ที่เข้มแข็ง ครบมิติทั้ง “บ้าน-วัด-โรงเรียน” (บวร)
ครับ, การประสานงานดังกล่าว เป็นสิ่งที่ผมยึดมั่นมาโดยตลอดว่า “คนทำงาน หรือเจ้าของผลงานคือพระเอกตัวจริง” ด้วยเหตุนี้ในเวทีดังกล่าว จึงควรให้เกียรติต่อผู้คน หรือคณะทำงานได้บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองผ่านวิธีการของเขาเอง มากกว่าผมต้องสวมบทบาท “เด็ดยอด” นำเสนอเอง ซึ่งวิธีคิดและวิธีการเช่นนี้ ผมว่าไม่เหมาะไม่ควร และไม่ควรสร้างให้เกิดเป็นวัฒนธรรมในองค์กรแห่งการเรียนรู้โดยเด็ดขาด
ชวนกองส่งเสริมวิจัยไปหนุนเสริมและติดตามภารกิจของตัวเอง
หลังประสานงานกับคณะทำงานในสังกัดกลุ่มงานอนุรักษ์เอกสารโบราณ สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน ผมได้นำเรื่องกลับมายังกองส่งเสริมการวิจัยและบริการวิชาการอีกครั้ง เพื่อมอบหมายภารกิจในเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
แน่นนอนครับ ผมไม่ได้เจาะจงแต่เฉพาะภารกิจประจำที่เกี่ยวกับการต้อนรับขับสู้เท่านั้น แต่ยังชวนให้นำเอกสาร วารสาร และนิทรรศการไปจัดแสดง รวมถึงจัดเตรียมหนังสือ หรือแม้แต่วารสารต่างๆ ส่งมอบเป็นของที่ระลึก เพราะสิ่งเหล่านี้คือคลังความรู้ที่สามารถนำไปขยายผลต่อได้
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือการที่ผมบอกเล่าในทำนองว่า นี่เป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ลงพื้นที่ไปดูผลงานที่เราได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้แต่ละหลักสูตรได้ไปขับเคลื่อนร่วมกับชุมชน มิใช่เรานั่งนิ่งอยู่แต่ในห้องทำงาน แต่ไม่เคยไปเรียนรู้เลยว่า
“...เขาทำอะไร อย่างไร ได้ผลแค่ไหน เกิดปรากฏการณ์เรียนรู้แบบมีส่วนร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชนอย่างไร...”
ครับ,ผมพยายามสื่อสารอย่างสุภาพ เพื่อปลุกเร้าให้แต่ละคนเห็นความสำคัญของ “ภารกิจและพันธกิจ”
ควบคู่กันไป พร้อมๆ
กับการปลุกเร้าให้เกิดความกระหายในการที่จะไปเรียนรู้ผ่านการ “เห็นจริง
สัมผัสจริง”
ไม่ใช่รอเรียนรู้จากเอกสารที่แต่ละหลักสูตรส่งกลับมาตามระบบกติกาที่เราได้ตั้งไว้ เนื่องจากบางทีเอกสารที่ส่งกลับมา
ก็ไม่อาจสะท้อนความรู้ได้ชัดนัก
เพราะประสบปัญหาในหลายเรื่องเช่น
การเขียน การจัดเก็บข้อมูล เป็นต้น
และนอกจากนั้นผมยังสื่อสารในทำนองว่า
“...การไปดูผลงานเหล่านั้น จะทำให้เรารู้ว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องพอที่จะนำกลับมาขยายผล หรือหนุนเสริมให้แต่ละหลักสูตรได้กลับไปสร้างกระบวนการต่อยอดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น...”
ครับ, จริงๆ ก็เหมือนการไปเก็บข้อมูล สำรวจข้อมูล เพื่อนำกลับมาสร้างฐานข้อมูลดีๆ นั่นเอง
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ดูงาน เบิกบานการโสเหล่
กิจกรรมการศึกษาดูงาน (แลกเปลี่ยนเรียนรู้) เริ่มต้นจากการเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์คัมภีร์โบราณพระอริยานุวัตรเขมจารีนุสรณ์ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงมรดกทางวรรณกรรมอันทรงคุณค่าที่บันทึกเรื่องราวและคลังปัญญาต่างๆ ไว้ในคัมภีร์ใบลานผ่านการจัดเก็บ ชำระ ปริวรรต จัดแสดง เผยแพร่เป็นหมวดหมู่ อาทิ วรรณกรรมอีสาน ตำรายา โหราศาสตร์ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยใช้วิทยากรนำเยี่ยมชมแบบบูรณาการทั้งจากทางวัดและบุคลากรของกลุ่มงานอนุรักษ์เอกสารโบราณฯ
การเยี่ยมชมดังกล่าว ก่อเกิดความเบิกบาน แช่มชื่น มีการบอกเล่าผสมผสานกับการซักถามอย่างเป็นกันเอง มีการเชื่อมโยงถึง "คติชนวิทยา" ที่ยึดโยงอยู่ในกระบวนการจัดเก็บคัมภีร์โบราณด้วยการใช้ “ผ้าถุง” มาเป็นผ้าห่อคัมภีร์ รวมถึงการที่ผู้หญิงตัดผมของตนเองมาใช้เป็นเชือกมัดคัมภีร์โบราณ-
พระเทพสิทธาจารย์ : เจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม
ผศ.ดร.ราชันย์ นิลวรรณาภา : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เสร็จจากนั้นก็กลับมาเปิดวงโสเหล่กันที่ศาลารับรอง โดยเริ่มจากการที่ พระเทพสิทธาจารย์ เจ้าอาวาสวัดมหาชัย ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม ให้โอวาทและร่วมเป็นองค์ประธานเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขณะที่ ผศ.ดร.ราชันย์ นิลวรรณาภา ได้เป็นผู้แทนมหาวิทยาลัยฯ นำเสนข้อมูลการดำเนินงานที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์เอกสารโบราณที่เชื่อมโยงกับวิถีพุทธสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนอีสาน สลับกับการเปิดประเด็นซักถาม หรือแม้แต่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย
กระทั่งในตอนท้าย ผมได้นำวีดีทัศน์มาเปิดให้ได้ดูชมกันสั้นๆ เป็นเรื่องราวการสร้างบ้านดินอบสมุนไพร ณ วัดมหาผล (ชุมชนท่าขอนยาง) อันเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อน 1 หลักสูตร 1 ชุมชนของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า “วัด” ยังคงเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้อยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง
สรุป
นี่คือผลพวงเล็กๆ ของการเรียนรู้ร่วมกันอย่างไร้พรมแดนผ่านอานิสงส์ของการเป็นสมาชิกของ G2K อย่างไม่ผิดเพี้ยน
“...ไกลแสนไกลแค่ไหน ก็หาใช่เป็นอุปสรรคของการแบ่งปัน เกื้อกูลต่อกัน...”
และนี่คือผลพวงของการทำงานหนักของมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่มุ่งปฏิรูปการเรียนการสอนผ่านแนวคิดของการบูรณาการภารกิจ 4 In 1 โดยมีงานบริการวิชาการและงานทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม (1 หลักสูตร 1 ชุมชน, 1 คณะ 1 ชุมชน) เป็นตัวขับเคลื่อน
สำหรับผมแล้ว ผมมีความสุขอย่างมหาศาลกับการได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำหน้าที่เชื่อมโยงการเรียนรู้ดังกล่าว ไม่เสียใจที่แทนที่จะพูด หรือบรรยายเอง แต่ยกเครดิตให้ “พระเอกตัวจริง” ได้บอกเล่าเรื่องราวของเขาเอง
และมีความสุขอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อทราบว่าคณะผู้ศึกษาดูงานหลาย่อหลายรูป/ท่าน อยากกลับไปพลิกฟื้นเรื่องอักษรธรรม หรืออักษรโบราณในท้องถิ่น หรือแม้แต่การพลิกฟื้นให้วัดได้กลับมาเป็น "ศูนย์การเรียนรู้" ของ "ชุมชน" เฉกเช่นที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามกำลังดำเนินการอย่างไม่ลดละอยู่ในขณะนี้
ว้าว ! ท่านอาจารยยูมิ ไปอยู่ที่นั่น ;)...
ผมกอด อ.ยูมิ เผื่อ อ.วัส แล้วนะครับ
สวัสดีค่ะพี่พนัส
ทำงานกับพระ สุขทั้งกาย สุขทั้งใจใช่ไหมคะ
เป็นบูรณาการเรียนรู้ที่เป็นแบบอย่างค่ะ..
เบื้องหลังตัวจริง
สวัสดีครับ คุณแผ่นดิน
ผมมาอยู่เมืองปักษ์ใต้เรียบร้อยแล้ว แวบเข้ามาขอบคุณในทุกสิ่งที่ทำให้การเดินทางท่องไปในอีสานได้รับความรู้ประทับใจของมวลนิสิตที่ได้ไปเยือนครับผม
ด้วยความปรารถนาดี
จาก...ยูมิ
อิ่มบุญ อิ่มใจ อิ่มความรู้ อิ่มมิตรภาพ