จิตสังคมในเด็กและวัยรุ่น การวินิจฉัยจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. วินิจฉัยตั้งแต่วัยเด็กต่อเนื่องมาจนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยมักจะมีอาการ ร้องไห้แบบไม่รู้สาเหตุหรือ ดูดนมแรงมาก
2. วินิจฉัยในวัยผู้ใหญ่ แล้วสืบกลับไปในวัยเด็กแล้วมีอาการผิดปกติดังกล่าว
การแบ่งโรคในจิตเวชเด็กตามการแบ่งของ CAMHS (Children Adolescent Mental Health Services ) ตัวอย่างเช่น
ความสำคัญของจิตเวชในเด็กที่ส่งผลไปในช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ คือ หากเด็กมีอาการของโรคทางจิต แล้วไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือรักษาตั้งแต่วัยเด็กเช่น ADHD จะส่งผลให้เมื่อเติบโตขึ้นจะมีพฤติกรรมรุนแรงได้
- Mental retardation
- Learning disability
- Motor skill disoder
- Communication disoder
- Pervasive Developmental Disorder
- Attention Deficit Hyperactivity Disorder
- Feeding & eating Disorder
บทบาทของนักกิจกรรมบำบัด
- ส่งเสริมสุขภาพทางบวก : ออกแบบกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วม โดยพิจารณาเลือกกิจกรรมจากความสนใจของผู้รับบริการ เพื่อให้ผู้รับบริการมีแรงจูงใจในการทำกิจกรรม
- ประเมินความสามารถการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิต
- สังเกตพฤติกรรม และอาการทางจิต
- ออกแบบการรักษา โดยใช้กิจกรรมเป็นสื่อการรักษา
ความแตกต่างของหลักการทางกิจกรรมบำบัดในการดูแลเด็กและวัยรุ่น
- การตรวจประเมิน
เด็ก- ใช้การสัมภาษณ์จากผู้ปกครองหรือผู้ดูแล และดูลักษณะการเล่นของเด็ก การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นการแสดงอารมณ์ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใกล้ชิดหรือบุคคลที่ไม่คุ้นเคยว่าเด็กแสดงพฤติกรรมอย่างไร รวมถึงพัฒนาการที่ผ่านมาในแต่ละช่วงวัยของเด็ก
วัยรุ่น-ใช้การสัมภาษณ์ผู้ปกครอง เกี่ยวกับพฤติกรรม ความบกพร่องและความสามารถในการทำกิจกรรม พฤติกรรมขณะอยู่ที่บ้านและโรงเรียน การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การควบคุมและการจัดการอารมณ์ การมีปฏิสัมพันธ์และการแสดงออกทางอารมณ์กับบุคคลอื่น
- สัมภาษณ์ผู้รับบริการ โดยสัมภาษณ์เกี่ยวกับความคิด ความรู้สึก กิจกรรมที่ชอบทำ ปัญหาความซึมเศร้า หรือความเครียด โดยอาจใช้แบบประเมินมาตรฐานร่วมด้วย เช่น แบบประเมินRole Checklist, Interest Checklist เมื่อสัมภาษณ์เสร็จ ควรถามผู้รับบริการว่ามีข้อมูลส่วนไหนที่ต้องการเก็บเป็นความลับ ไม่ต้องการให้ผู้ปกครองทราบบ้าง เพื่อให้เด็กเกิดความไว้วางใจในผู้บำบัด2.การบำบัด
เด็ก
- กิจกรรมบำบัดฟื้นฟู ใช้กิจกรรมการเล่นเป็นสื่อการรักษา โดยให้เล่นในสิ่งที่เด็กชอบ จากนั้นใช้การเล่นเป็นกลุ่มเพื่อสร้างการมีปฏิสัมพันธ์ การแสดงออกทางอารมณ์ และการควบคุมตนเอง โดยการเล่นในระยะเเรกอาจเป็นการเล่นแบบใช้ของเล่นร่วมกัน แล้วค่อยปรับให้เป็นการเล่นแบบกลุ่มที่สูงขึ้น
- การปรับพฤติกรรมในเด็กอาจใช้การตั้งเงื่อนไข หรือให้แรงเสริมทางบวกหรือทางลบ โดยดูจากพฤติกรรมที่เด็กแสดงออก ส่งเสริมการแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสม
-การปรับสิ่งแวดล้อม ในกลุ่มอาการ เช่น สมาธิสั้น อาจต้องปรับเพื่อไม่ให้มีสิ่งแวดล้อมที่เป็นตัวขัดขวางการทำกิจกรรมของเด็ก หรือสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เด็กหันเหความสนใจได้ง่าย เช่น บริเวณที่มีเสียงดังวัยรุ่น
-ใช้กิจกรรมที่ผู้รับบริการสนใจ เป็นกิจกรรมส่งเสริมการตัดสินใจและการแก้ไขปัญหา กิจกรรมกลุ่ม หรือกิจกรรมช่วยเหลือสังคม
3.ประเมินซ้ำ
- หลังจากให้การบำบัดฟื้นฟู ควรมีการประเมินซ้ำทุกครั้ง เพื่อดูความก้าวหน้า และปรับกิจกรรมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
ไม่มีความเห็น