มีคนถามอยู่บ้างว่า ชีวิตของผมเลี้ยวมาเป็นเช่นปัจจุบันได้อย่างไร โดยผมก็ถามตนเองด้วย และยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
วันที่ ๑๓ ธ.ค. ๕๕ ไปร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัยที่ศิริราช มีการพูดกันเรื่องงานใหม่ๆเชิงพัฒนาที่แหวกแนวไปจากงานหลักที่มีระบบและการให้ผลประโยชน์ชัดเจนว่า หาคนทำยาก เพราะไม่อยากละจากงานเดิมซึ่งดีล้นเหลือ ตัดสินใจละออกมายาก "มีแต่คนบ้าๆไม่กี่คน" เป็นคำของท่านคณบดี ศ. นพ. อุดมคชินทร
ทำให้ผมนึกออกว่าผมเป็นหนึ่งใน "คนบ้า" นั้น ที่ตัดสินใจละจากอาชีพแพทย์ที่ดูแลปฏิบัติรักษาผู้ป่วย คือย้ายจากสังกัดภาควิชาอายุรศาสตร์ ไปเป็นอาจารย์ภาควิชาพยาธิวิทยา ทำงานสอนพันธุศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาทางปรีคลินิค ในราวๆปีพ.ศ. ๒๕๒๐ อายุ ๓๕ ปี โดยในตอนนั้นผมทำหน้าที่รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมีงานบริหารมากเต็มเวลา ผมไม่มีเวลาไปออกตรวจผู้ป่วยและสอนนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิก และคิดว่าผมชอบงานวิจัย การไปสังกัดภาควิชาปรีคลินิคจะทำให้ผมมีเวลาทำงานวิจัยมากขึ้น
แปลกมากที่ตอนนั้นผมไม่เสียดายความเป็นหมอรักษาคนไข้เลย ทั้งๆที่รู้ๆกันอยู่ว่าหมอรักษาคนไข้กับหมอไม่รักษาคนไข้นั้นรายได้แตกต่างกันมาก นี่กระมังที่ทำให้ท่านคณบดีอุดมกล่าวว่าเป็น“คนบ้าๆ”
ผม AAR แบบคิดหลุดโลก ว่าคนเรามัก“ติดกับ”สิ่งดีๆที่ตนได้รับ จึงไม่ขวนขวายแสวงหาสิ่งใหม่ให้แก่ชีวิต คนเป็นหมอและทำหน้าที่รักษาคนไข้ มีชีวิตที่ดีล้นเหลือ ทำประโยชน์ให้แก่ชีวิตคนไข้ และได้รับทั้งเกียรติและได้รับทั้งลาภ จึงหยุดชีวิตไว้ตรงนั้น
แต่หมออย่างผมที่จิตใจเร่าร้อนอยากทำอะไรบางอย่างที่เป็นประโยชน์ ให้เป็นชีวิตที่มีประโยชน์ ไม่ใส่ใจผลประโยชน์จากการทำหน้าที่ดูแลคนไข้ สนใจทำงานวิจัยค้นคว้า หรือทำงานพัฒนา ที่เป็นดินแดนที่คนเป็นหมอไม่นิยม การละจากชีวิตที่มั่นคง ไปสู่ชีวิตที่สุ่มเสี่ยงเอาแน่เอานอนไม่ได้กลับเป็นสิ่งที่ผมตัดสินใจไม่ยาก
เป็นสภาพการตัดสินใจที่ผมเองก็ไม่เข้าใจตนเองจนบัดนี้ รู้แต่ว่าถ้าไม่ละจากโอกาสดีและมั่นคงในชีวิต ไปสู่ชีวิตของนักแสวงหา ก็จะไม่พบชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ดังนั้นเมื่อลูก ๒ คนละจากชีวิตมั่นคง เลือกเดินทางชีวิตแสวงหาคล้ายๆกันผมจึงไม่ห้ามปราม
เพราะผมเชื่อว่าชีวิตคือการเดินทางค้นหาความหมาย หากหยุดค้นหาก็จบ
วิจารณ์พานิช
๑๕ ธ.ค. ๕๕
คิดถึง..อาจารย์ ตั้ม และศรัทธาในตัวตนของ...อาจารย์วิจารณ์ มาก นะครับ
ด้วยความเคารพรัก
แสงแห่งความดี