เมื่อตอนที่ผู้เขียนยังเด็กนั้น จะเห็นครูผู้สอนไม่ว่าจะเป็นครูประจำชั้น ครูพิเศษ หรือแม้กระทั่งครูใหญ่ ตลอดจนนักการภารโรง ให้ความสนใจกับนักเรียนที่ร่ำรวย และ น่ารัก
ขณะนั้นยังเด็กอยู่จึงไม่คิดอะไรมาก เพียงแต่คิดว่า เราไม่น่ารัก เราไม่รวย แต่เราก็ได้เกิดมาอยู่ร่วมกับพวกนี้ได้ก็แล้วกัน คิดอย่างนั้นจริงๆ
ระบบเส้นสาย ช่วยเหลือกันที่เห็นมาก เมื่อตอนที่ไปโรงพยาบาลของรัฐ ผู้เขียนไปโรงพยาบาลแต่เช้ามึด เพื่อขึ้นบัตร และจะมีการรับจำนวนคนไข้จำกัดเพื่อรักษาโรคเฉพาะทาง
ไม่ว่ากัน การบริการพิเศษให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลนั้นๆ แต่ควรจะแยกประเภทให้ชัดเจน คนไข้บางคน ถ้าไม่เจ็บป่วยมากจริง และถ้ามีเงินมาก จะไม่มาโรงพยาบาลของรัฐ ให้เสียอารมณ์หรอกค่ะ
กรณี ครู และหมอ คล้ายๆกัน ตรงที่ว่า เอาใจคนรวยและน่ารัก นี่คือประเด็นที่จะเขียนบันทึกในฉบับนี้
ผู้เขียนไปหาหมอ เนื่องจากมีอาการคันบริเวณแขนและหน้าแข้ง เท่าที่สังเกตตนเองในเบื้องต้น เกิดจากการถูกแดดนานเกินไป เป็นตุ่มเล็กและคันมาก ดูแลตัวเองเบื้องต้นด้วยการทายาคาลาไมน์(น่าจะเขียนถูก) แต่พอยาหมด ก็เลยจะไปหาหมอขอยามาใช้ทา
ผู้เขียนนั่งรอหมอเป็นคนแรก เห็นหมอเดินมา ยกมือประณมไหว้ด้วยความเคารพแล้ว ท่านรับไหว้แบบเสียไม่ได้
หมอตรวจโรคถามว่า " ไปโดนอะไรมา "
ผู้เขียนตอบยังไม่ทันเสร็จ หมอถามต่อว่า " กินอะไรแพ้มาหรือเปล่า"
แล้วหมอก็บอกว่า " เอายาไปกินนะ " ผู้เขียนตอบว่า " ค่ะ " หมอฟังแบบไม่ตั้งใจ และตะโกนเรียกชื่อคนไข้รายต่อไป
ผู้เขียน เอาใบสั่งยาไปให้คนจัดยา สักครู่เดียวได้ยินคนเรียกชื่อ ให้มารับยา
ยาที่ได้มา คือ คลอเฟนีรามีน ที่ผู้เขียนกินเป็นประจำอยู่แล้ว
โธ่เอ๋ย ให้ยาแบบนี้ แล้วเราจะดั้นด้นไปหาหมอทำไมให้เสียเวลา
เพื่อเป็นการรักษาความเจ็บใจ จึงเดินไปห้องสมุดอ่านหนังสือดับอารมณ์ขุ่นมัว
อ่านไปก็คิดไปว่า ทำไมหมอไม่ให้ยาทา หรือว่ายาอะไรที่ดูดีกว่านี้
แล้วทำไมหมอทำอาการตัดบทไป
อ๋อรู้แล้ว เพราะผู้เขียนเป็นนักศึกษาปริญญาเอก และไปขอรับการบริการฟรี(ทั้งที่เสียเงินค่าบำรุงไปเป็นปีแล้ว) นี่เอง
ครู ไม่ชอบนักเรียนขี้เหร่
หมอ ไม่ชอบนักศึกษาปริญญาเอก
อิอิ สรุปถูกหรือผิด คิดเอาเองค่ะ
สวัสดีค่ะ
เมื่อก่อนเวลาแพ้ก็ได้ยาแก้แพ้...เป็นสูตรสำเร็จค่ะ ก็กินยาแก้แพ้และรับรู้มาตลอดว่าตัวเอง แพ้ง่าย
ตอนหลังมาศึกษาเรื่องแพ้ ก็พบว่า ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะที่ร่างกายประท้วงล่ะว่า เครียดแล้วไม่รู้ตัว ทำให้ปฏิกิริยาของร่างกายไวต่อสารก่อภูมิแพ้ค่ะ สำหรับผู้หญิงที่ยิ่งเข้าวัยใกล้หมดประจำเดือน ผิวหนังจะบางลง แห้งลงโอกาสจะเกิดผื่นคันจะง่ายขึ้นค่ะ
ลองค่อยๆตัดไฟแต่ต้นลมค่ะ คือเพิ่มภูมิต้านทานต่อความเครียดให้กับร่างกายตัวเอง คือออกกำลังกายให้เหงื่อออก หัวเราะให้ได้อย่างน้อยวันละครั้ง กินอาหารที่อยู่ในวงจรต่ำสุด หมายถึงไม่ปรุงแต่งมาก กินข้าวกล้อง นอนให้หลับสนิท ฝึกปล่อยลมหายใจยาวๆ เวลาโกรธไปตะโกนดังๆ (มีคนใช้วิธีไปกดชักโครกๆๆๆ โดยเล่าเรื่องโกรธลงในชักโครกด้วยก็มีค่ะ)
ส่วนผื่นแพ้แดด ถ้าเกิดจากพิษของวิตามินดีที่มากเกิน การกินมะเขือเทศก็ช่วยได้ดีค่ะ ถ้าจะให้ทันใจ ลองเอาว่านหางจระเข้ตรงส่วนเนื้อวุ้นมาลูบๆค่ะ จะหายคันและผิวนุ่มด้วยค่ะ
จะได้ไม่ต้องไปเจอคุณหมอท่านนั้นอีกไงคะ
ดิฉันเรียนรู้อีกมากว่าหมวกนักศึกษาปริญญาเอก ทำให้ได้รู้จักนิสัยอันแท้จริงของครูบาอาจารย์ ของเจ้าหน้าที่คณะ ไปถึงนักการภารโรง (ดิฉันเรียนในสถาบันตัวเองค่ะ)...เป็นประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้ค่ะ ...ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ
เรียนในสถาบันตัวเองคือ ทำงานอยู่เป็นอาจารย์ที่คณะค่ะ และก็เรียนต่อในคณะด้วย
คือลดรูปจากตำแหน่งอาจารย์เป็นนักศึกษาค่ะหรือถ้านับลำดับชั้นแล้วจัดอยู่ใน classify ต่ำสุดของคณะ หมายถึงว่าสถานภาพทุกอย่างในสังคมของคณะจัดอยู่ในกลุ่มต่ำสุดค่ะ เพราะคณะฯ มีการจัดระบบแบ่งชั้นค่อนข้างชัดค่ะ และก็หมายถึงว่าเวลาเขาจะต้องใช้งาน ดิฉันก็จะถูกยกย่องว่ามีความรู้ความสามารถ แต่เวลาที่เขาจะแบ่งผลงานและผลประโยชน์ จะตกชื่อไป เพราะเขาจะบอกว่าสถานภาพเป็นนักศึกษา พอเห็นภาพไหมคะ ว่า สนุกเพียงใด ที่จะได้รู้จักนิสัยของแต่ละคนที่เมื่อก่อนไม่เคยได้รู้ค่ะ
อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะ คงคล้ายกับสมัยหนึ่งที่ครูอ้อยเรียนปริญญาโท เวลาพิจารณาความดีความชอบก็ไม่มีชื่อ เพราะถือว่า เรียนต่อ เอาเวลาไปเรียน แต่ความจริง
ดังนั้นการพิ...ขึ้นอยู่กับ ปาก....
ขอบคุณมากค่ะที่ตอบให้หายสงสัย แล้วเจอลูกสาวของครูอ้อยที่หายไปหรือยังคะ อิอิ ให้หาแม่บ้าง อิอิ แกล้งให้เข็ด อย่าไปบอกเธอนะคะ