เมืองไทยวันนี้คงจะไม่มีอะไรที่จะดุเป็นข่าวเด่นและดังไปกว่าสถานการณ์ การเมืองอีกแล้ว ซึ่งเรื่องนี้จะมีผลต่อประชาชนทุกคนในประเทศไทย ทั้งทางสภาพเศรษฐกิจด้วย
สถานการณ์ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ทุกคนคงจะได้รับรู้ถึงเหตุการณ์การปฏิรูปทางการเมืองโดยคณะปฎิวัติ ที่เป็นข่าวแพร่ภาพไปทั่วโลกซึ่งเหตการณ์นี้มีการวิภาควิจารณ์กัไปต่างๆนาๆ แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน บางคนบอกว่ารู้สึกดีแต่น่าจะทำตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้ว บางคนว่าทำให้เมืองไทยถอยหลังเข้าคลอง จริงๆว่ามองได้หลายแบบ แต่ในส่วนนี้ที่แน่ๆมีผลต่อสภาพเศณษฐกิจ วันแรกที่ปฏิรูป หุ้นตกไปเยอะเลยแต่ตอนปิดตลาดก็ปรับขึ้นมา ก็อาจจะเสียภาพพจน์ไปบ้างแต่ด้วยความที่สังคมไทยไม่ใช่สังคมรุนแรง แต่อาจจะมีผลต่อการลงทุนจากต่างประเทศบ้างเพราะไม่มั่นใจในสถานการณ์ อาจทำให้สภาพเศณษฐกิจชลอตัว จึงมีบางหน่วยมาแนะนำในเรื่องของเศณษฐกิจ เช่น
หอการค้า แนะรัฐบาลใหม่คงนโยบายเศรษฐกิจคู่ขนาน-เอฟทีเอ ดันเศรษฐกิจปีหน้าโต 4-6% ไม่หวั่นคณะปฎิรูปยึดการปกครอง เชื่อเศรษฐกิจยังแกร่ง คาดปีนี้โตตามเป้าที่ 4%
และควรรีบที่จะอยากจะจัดตั้งรัฐบาลภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า และมีการดำเนินการต่างๆ อย่างรวดเร็ว เพื่อเข้ามาช่วยกอบกู้เศรษฐกิจ ให้ดำเนินนโยบายแบบคู่ขนานต่อไป โดยไม่เน้นเฉพาะการส่งออกเท่านั้น แต่เน้นให้เศรษฐกิจในประเทศขยายตัวด้วย รวมถึงยังคงเดินหน้าเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ซึ่งอาจจะต้องปรับปรุงเนื้อหาบางส่วนให้เกิดความเสมอภาคกับประเทศคู่สัญญา และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีโอกาสในการรับรู้
ส่วนนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น จะเป็นใครก็ได้ แต่ต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคมอย่างพอเพียงและตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ จะต้องมีความซื่อสัตย์ มีความโปร่งใส มีประวัติความโปร่งใส และทำงานร่วมกับภาคเอกชนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อกำหนดแนวทางเศรษฐกิจและให้มีการเติบโตอย่างมั่นคง
"การยึดอำนาจครั้งนี้ ไม่น่าจะเป็นผลในทางลบที่รุนแรง และหากมีผลกระทบก็จะเป็นระยะสั้นมาก นักลงทุนในตลาดหุ้นไม่ตื่นตกใจ จึงทำให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงขยายตัวได้ 4 ในปีนี้ และปีหน้าคงจะเติบโตได้ในระดับ 4-6% ได้"
ผมเห็นด้วยครับว่า สถานการณ์เด่น เมื่อวันที่ 19/9/2006 ที่ผ่านมาที่มีการรัฐประหาร เป็นสถานการณ์ ทางการเมืองที่เด่นมากสำหรับเมืองไทย
ทำให้เป็นการปลดล๊อค ปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมาก