นายเรืองไกร ได้ทำการขายหุ้นบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)หรือบีอีซีแอล หุ้นจากบิดาในราคา 10 บาท จากราคาตลาด 21 บาท มีส่วนต่างประมาณ 55,000 บาท แต่ปรากฏว่าถูกกรมสรรพากรคำนวณเป็นภาษีเงินได้ 21,000 บาท นายเรืองไกรจึงร้องเรียนว่า ทางกรมสรรพากรเลือกปฏิบัติ เพราะไม่ยอมเก็บภาษี "ส่วนต่าง" ราคาหุ้นชินซึ่งเป็นการดำเนินธุรกรรมในรูปแบบเดียวกัน
"บิ๊กสรรพากร"หนีถูกเชือด
ดิ้นส่งเรื่องให้ศาลฏีกาตีความ
หวังล้มคดีไม่เก็บภาษีลูกทักษิณ
ผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีของ สตง.แฉซ้า บิ๊กกรมสรรพากร ส่งเรื่องให้ ศาลฏีกาตีความว่า การให้ศาลภาษีตัดสินคดีละเว้นภาษีบุตรชาย และบุตรสาวอดีตนายกรัฐมนตรีดำเนินการถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่ หวังให้คดีตกไป
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชี สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) เปิดเผยว่า
ตามที่ตนได้ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร ต่อ ศาลแพ่งภาษี เนื่องจาก กรมสรรพากร ไม่ยอมเก็บภาษีตนจากกำไรที่ได้จากการซื้อหุ้นราคาถูกว่าราคาในตลาดไปแล้วนั้น ซึ่งศาลแพ่งได้รับฟ้อง และเดิมจะนัดสืบทั้งฝ่ายโจทย์ และจำเลย ในวันที่ 9 ตุลาคม 2549
อย่างไรก็ตามล่าสุด กรมสรรพากร ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฏหมายให้ประธานศาลฎีกา ตีความว่าเรื่องดังกล่าวสามารถขึ้นศาลแพ่งภาษีได้หรือไม่ หากไม่ได้คดีนี้ก็ตกไป
"ทางด้าน กรมสรรพากร คงเกิดอาการกลัวว่าถ้าหากแพ้คดีดังกล่าวในศาลแพ่ง และต้องเก็บภาษีจากการซื้อขายของผมให้ถูกต้องแล้ว อาจจะมีผลกระทบกับหลายกรณีที่ผ่านมาในการซื้อขายหุ้นของคนในครอบครัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ซื้อขายหุ้นกันไปมานอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ในราคาต่ำกว่าราคาในตลาด และเมื่อมีส่วนต่างของรายได้จากการขายหุ้น ก็ยังไม่เคยเสียภาษีเลยแม้แต่บาทเดียว"นายเรืองไกรกล่าว
นายเรืองไกรยังกล่าวต่ออีกว่า หากมีการศาลแพ่งทำการพิจารณาคดีของตนแล้ว ผลของการตัดสินนั้นจะส่งผลกระทบไปยังผู้บริหารกรมสรรพากรจำนวนหลายคนที่เคยออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน โอนขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น ให้นายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร และพี่ของตนเอง ในราคา 1 บาท ต่ำกว่าราคาตลาดหลายเท่าตัว แต่กรมสรรพากรกลับตีความว่าไม่ต้องเสียภาษี และหลังจากนั้น นายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้กับ เทมาเซค ในราคากำไรเห็น ๆ คือหุ้นละ 49.25 บาท สูงกว่าราคารับซื้อหรือโอนที่ 1 บาท ถึง 4,925% ซึ่งกรมสรรพากร ก็ยังสรุปว่าการซื้อขายดังกล่าวไม่ต้องเสียภาษีอีกเช่นกัน ซึ่งจะทำให้ผู้บริหาร กรมสรรพากรเหล่านั้นมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้
มีรายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ นายเรืองไกร ได้ทำการขายหุ้นบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)หรือบีอีซีแอล หุ้นจากบิดาในราคา 10 บาท จากราคาตลาด 21 บาท มีส่วนต่างประมาณ 55,000 บาท แต่ปรากฏว่าถูกกรมสรรพากรคำนวณเป็นภาษีเงินได้ 21,000 บาท นายเรืองไกรจึงร้องเรียนว่า ทางกรมสรรพากรเลือกปฏิบัติ เพราะไม่ยอมเก็บภาษี "ส่วนต่าง" ราคาหุ้นชินซึ่งเป็นการดำเนินธุรกรรมในรูปแบบเดียวกัน ต่อมา นายวราเทพ รัตนากร อดีตรมช.คลังในขณะนั้น ได้ทำการออกมาชี้แจงในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2549 ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความผิดพลาดและเข้าใจผิดของกรมสรรพากร ดังนั้นทางกรมจึงคืนเงินภาษีที่เก็บไปจากนายเรืองไกรไป ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กรมสรรพากรคืนเงินให้ผู้เสียภาษีโดยผู้เสียภาษีมิได้ขอคืน จึงทำให้นายเรืองไกรปฏิเสธรับเช็คดังกล่าว และต้องฟ้องศาลแพ่งภาษีให้กรมสรรพากรเก็บภาษีกำไรจากการซื้อหุ้นในราคาต่ำจากเขาต่อไป ซึ่งจะบรรทัดฐานในการเก็บภาษีในการเก็บภาษีกรณีอื่นๆต่อไป
ด้านผู้สื่อข่าวรายงานจาก ตลาดหลักทรัพย์ฯว่า หลังจากวันที่ 19 กันยายน 2549 นอกจากจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแล้ว ยังส่งผลให้หุ้นที่มีส่วนพัวพันกับนักการเมืองในเครือญาติตระกลูชินวัตร หรือที่เรียกว่า "หุ้นการเมือง" ก็ปรับตัวลดลง อย่างต่อเนื่อง
โดยคำนวนแล้วพบว่ามูลค่าหุ้นในเครือตระกูลชินวัตร ปรับตัวลดลงตั้งแต่วันที่ 19- 22 กันยายน ได้แก่ บริษัท บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (SHIN)ปิดที่ 28.50 บาท ลดลง 2.50 บาท หรือ 8.06% หุ้นบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(ADVANC) ราคาปิดที่ 89.00บาทลดลง 4.00 บาท หรือ 4.30% หุ้นบมจ.เอสซี แอสเสท(SC) ราคาหุ้นปิดที่ 7.85 บาท ลดลง 3.15บาท หรือ 28.63%หุ้นบมจ.ชินแซทเทลไลท์ (SATTEL) ปิดที่ 6.40 บาท ลดลง 2.65 บาท หรือ 29.28% หุ้นบมจ.ไอทีวี (ITV) ราคาปิดที่2.66 บาท ลดลง 0.78 หรือ 22.67%
และหุ้นตระกูลวงศ์สวัสดิ์ ของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ปรับตัวลดลง เช่นกัน ทั้งบมจ.วินโคสท์ อินดัสเทรียลพาร์ค (WIN) ปิดที่ 1.05 บาท ลดลง 0.82 บาท คิดเป็น 43.85% บมจ.จีสตีล (GSTEEL) ปิดที่ 0.95 บาท ลดลง 0.07 บาทคิดเป็น 6.8%บมจ.เอ็มลิ้งค์ (MLINK) ปิดที่ 1.53 บาท ลดลง 0.83 บาท คิดเป็น 35.16%สามารถไอโมบาย(SIM)ปิดที่ 17.40 บาท ลดลง 0.9 บาท คิดเป็น 4.9%
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. นครหลวงไทย กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มชินยังคงมีแรงกดดันด้านการเมืองอยู่ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงตลอดทั้งสัปดาห์ ทั้งนี้นักลงทุนต้องดูปัจจัยพื้นฐานประกอบ หากปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลงก็สามารถเข้าลงทุนได้ อย่างไรก็ตามในขณะนี้ไม่สามารถประเมินความเสี่ยงได้ เพราะต้องรอความชัดเจนด้านผลการตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย)กล่าวว่า หากนักลงทุนต้องการที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว ยังสามารถเลือกเข้าซื้อได้เป็นรายตัวเมื่อราคาอ่อนตัวลง แต่ยังคงต้องระวังด้านความเสี่ยงการลงทุน
"นักลงทุนในกลุ่มที่ว่าจะต้องใจถึงจริงๆ เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางจิตวิทยาการลงทุน(เซนติเม้นท์) และยังพัวพันถึงการตรวจสอบที่เชื่อมโยงกัน อย่างไรก็ดีบางตัวที่ยังลงทุนได้อย่าง ADVANCและSATTEL นักลงทุนก็จะต้องถือระยะยาวประมาณ 6เดือนขึ้นไป เพราะเชื่อว่าพื้นฐานของหุ้นจะกลับมาดีในอนาคต"นายโกสินทร์กล่าว