KM00111 : คิดไปเรื่อย 3 "โลกแตกทุกวัน"


วันนี้ (๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๕) มีคนพูดถึงเรื่องของ "วัน" กันเยอะ เลยลองคิดเล่นๆ ว่าวันนนี้เป็นวันเดือนปีอะไรบ้าง

- วันนี้วันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ.2012
- วันนี้วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2555
- วันนี้วันแรม 14 เดือน 12 จ.ศ.1374
- วันนี้วันที่ 12 ธันวาคม ร.ศ.231
.........

จะว่าไปก็การนับวันแบบต่างๆ ทั่วโลกหลายแบบ ตามปฏิทินของแต่ละท้องถิ่น หลักของปฏิทินก็คือ "เวลา" เมื่อเวลาเดินไปข้างหน้า "วัน" จึงเกิด ๑ วันเกิดจากโลกหมุนรอบตัวเอง ๑ รอบ ดังนั้นวันแรกของโลกจึงน่าจะเป็นวันที่โลกเริ่มหมุนรอบตัวเองครั้งแรก ซึ่งเป็นเมื่อไหร่คงไม่มีใครรู้ได้ และเมื่อโลกต้องหมุนรอบดวงอาทิตย์ ทำให้มนุษย์ที่ช่างสังเกตุ ดวงจันทร์และดวงดาว (สมัยก่อนไม่มีใครรู้ว่าโลกกลม) พบว่ามันมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา และจะกลับให้เห็นเหมือนเดิมในอีกช่วงเวลา ตรงนี้เข้าใจว่าจึงเกิดเรื่องของ "เดือน" ขึ้นมา และสุดท้ายเมื่อมีการครบรอบของหมุนของโลกรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งคนโบราณอาจบอกว่าดวงดาวโคจรกลับมาที่เดิมนั้น "ปี" ก็เกิดขึ้น

ไม่มีใครรู้ว่า "วันแรก" "เดือนแรก" และ "ปีแรก" ของโลกที่แท้จริงคือเมื่อไหร่ และปัจจุบันเป็น "วันเดือนปี" ที่เท่าไหร่ของโลก อาจมีการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์เก่งๆ ของโลก แต่ผมก็เชื่อว่าก็เป็นแค่ "การคำนวณ" เท่านั้น เพราะไม่มีใครรู้คำตอบที่ถูกต้อง.....

วันนี้อีกเช่นกัน ผมฟังวิทยุ (ขณะขับรถ) เปิด Facebook (ไม่ใช่ขณะขับรถ) มีแต่คนพูดถึงตัวเลขในวันนี้ วันเดียวกันแต่มีทั้งคนบอกว่าดีบ้าง ไม่ดีบ้าง สรุปว่า ทั้งหมดทั้งปวงก็ขึ้นอยู่กับ "คนที่คิดทั้งสิ้น" 

วันนี้อีกเช่นกัน มีคนบ่นกับผมว่า "ทุกข์จังที่ต้องทำงานหาเงิน" ผมก็ถามกลับไปว่า "ทุกข์แล้วยังต้องทำงานต่อไปหรือไม่" คำตอบคือ "ก็ต้องทำซิ ไม่งั้นไม่มีเงินใช้" ผมถามอีกว่า "แล้วถ้าไม่ทุกข์ล่ะ ต้องทำงานอีกหรือไม่" คำตอบเหมือนเดิม "อ้าว ไม่ทุกข์ก็ต้องทำงานเหมือนกันนั่นแหละ" ผมก็ถามต่อว่า "งั้นทำไมเราต้องเลือกที่ทุกข์ล่ะ" อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับ "คนที่คิดทั้งสิ้น" เหมือนกัน 

กลับมาที่เรื่องวัน มนุษย์ทั่วไปไม่ค่อยสนใจเรื่องของ "วันแรกของโลก" เท่าไหร่ หากแต่สนใจ "วันสุดท้ายของโลก" กันมากกว่า เหตุผลโดยส่วนใหญ่เพราะ "กลัว" นั่นเอง กระแสเรื่องวันสิ้นโลกนี้ผมเข้าใจว่าสำหรับคนไทยแล้วเมื่อก่อนจะไม่มีใครพูดถึงเท่าไหร่ เพราะคนไทยส่วนใหญ่นั้นนับถือศาสนาพุทธ และหากใครเข้าวัดฟังธรรมบ้างก็พอจะรู้ว่ายุคที่เราอยู่นี้เรียกว่า "ภัทรกัปป์" เป็นกัปป์ที่มีพระพุทธเจ้ากำเนิดขึ้นถึง ๕ พระองค์ สำหรับองค์ปัจจุบันถือว่าเป็นองค์ที่ ๔ ดังนั้น จนเมื่อหมดยุคของพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ จึงจะเกิดไฟบรรลัยกัลป์มาล้างโลก ซึ่งอาจตรงกับนักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณไว้่ว่าอีกประมาณ ๕๐๐ ล้านปี ดวงอาทิตย์จะขยายใหญ่ขึ้น และส่งผลให้โลกร้อนจนไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้ ส่วนที่กันคิดว่า "โลกจะแตก" ปี 2000 บ้าง 2010 บ้าง 2012 ซึ่งก็เป็นตัวเลขตามคริสตศักราช ดังนั้น แนวคิดนี้จึงน่าจมาจาก "ฝรั่งมังค่า" เสียมากกว่า 

ส่วนโลกจะแตกจริงหรือไม่ผมตอบได้เลยว่า "ใช่แน่นอน" เพราะทุกสิ่งย่อมเป็นไปตาม "กฏของธรรมชาติ" ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนคงทน "มีเกิด" ย่อม "มีดับ" เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน แต่เนื่องจากความ "ไม่แน่นอน" เราจึงไม่ต้องไปทุกข์กับมันมาก หากยึดหลักคำสอนของพระพุทธองค์ "มรณานุสติ" หากเรายังหายใจเข้าและออกได้ ก็ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นหากเราคิดว่า "โลกพร้อมที่จะแตก" ได้ทุกวัน ทุกเวลา แล้วกลับมาถามตัวเองว่าเราได้ทำอะไรดีๆ ไว้ให้ถึงพร้อมหรือยัง ถ้าพรุ่งนี้โลกแตกเราได้ดูแลพ่อแม่ดีหรือยัง ถ้าอีก ๑๒ ชั่วโมงโลกแตก เรายังโกรธใครอยู่หรือไม่ ถ้าอีก ๖ ชั่วโมงโลกแตกเราจะไปอยุ่กลับใคร ถ้าอีก ๑ ชั่วโมงโลกแตกเราจะทำอะไร และถ้าเพียงเราหายใจออกแล้วโลกแตก "เราพร้อมแล้วหรือไม่"

สำหรับชาวพุทธอย่างผมวันที่ดีที่สุดคงเป็นวันวิสาขบูชา
สำหรับคนไทยอย่างผมวันที่ดีที่สุดคือวันที่ ๕ ธันวาคม ครับ

คำสำคัญ (Tags): #km#โลกแตก
หมายเลขบันทึก: 511760เขียนเมื่อ 12 ธันวาคม 2012 19:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม 2013 21:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ฝรั่งเขากลัวโลกแตก แต่ผมว่าปีนี้เป็นปีดีของคนไทยนะครับ อารมณ์ดี (ฮา-ฮา-ฮา) แต่ปีหน้าอาจไม่ค่อยดี (ฮา-ฮา-หก)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท