ลิงเกเร


ลิงเกเร

คนเรามักมีสองด้านอยู่ในตัวตน ด้านหนึ่งคือ ปัญญาอีกด้านหนึ่ง คือ ความรู้สึก เมื่อใดก็ตามที่เราเอาความรู้สึกขึ้นนำหน้า หรือออกรับยามได้ประสบสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ปฏิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นทันทีก็คือความรู้สึกถูกใจหรือ ไม่ถูกใจอันเป็นความรู้สึกอันดับแรกที่เราสามารถสัมผัสกับมันได้อย่างง่ายดาย และถือเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะต้องมีความรู้สึกกับปัญญา แต่มันอยู่ที่ว่าแตะละคนเลือกที่จะมีด้านไหนมากกว่ากัน อันที่จริงแล้วคนเราส่วนใหญ่มักใช้ด้านของความรู้สึกมากกว่าด้านที่เป็นปัญญา เพราะความรู้สึกเป็นอันดับแรกที่ก่อเกิดกับคนเราได้อย่างง่ายดายที่สุด

การที่เราเอาความรู้สึกออกรับคำวิพากษ์วิจารณ์  จึงมักตามมาด้วยความไม่พอใจ โกรธแค้น และเป็นทุกข์ แถมไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากคำวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว แต่ถ้าเราเอาปัญญาออกรับ จิตของเราจะมาใส่ใจกับเนื้อหาสาระของถ้อยคำ แทนที่จะมาจดจ่ออยู่กับเรื่องของความรู้สึกแต่เพียงอย่างเดียว หากคำวิจารณ์ของเขานั้นถูกต้อง ก็ช่วยให้เราปรับปรุงตนเองได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าไม่ถูกต้อง เราก็ยังได้ประโยชน์จากคำวิจารณ์นั่นอยู่ดี

เพราะการตั้งรับด้วยปัญญาเอื้อให้เราเห็นแง่มุมต่าง ๆ ของคำวิจารณ์นั้น เช่น กระตุ้นให้เราเกิดคำถามขึ้นในใจว่า เหตุใดเขาจึงพูดเช่นนั้น ? เราทำอะไรให้เขาเข้าใจผิดหรือเปล่า ? เขาหงุดหงิดกับใครมาก่อนหรือเปล่าถึงมากราดเกรี้ยวใส่เรา ? คำถามเช่นนี้ช่วยให้เราเกิดความรู้ความเข้าใจในตนเองและผู้อื่นมากขึ้น  แทนที่จะโกรธก็รู้สึกให้อภัยเขาได้ แน่นอนที่สุดท่าทีเช่นนี้อาจทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดเวลาค้นพบความผิดพลาดของตนเอง  แต่บทเรียนหรือความรู้ความเข้าใจที่ได้รับย่อมมีคุณค่าและคุ้มค่ากับความเจ็บปวดเสมอ

เสียงคำวิพากษ์วิจารณ์ที่สร้างความรู้สึกเจ็บปวดให้กับคนเรามากที่สุดนั่นคือเสียงที่มาจากลมปากของคนรักเราเอง  หลาย ๆ คู่ที่ต้องแยกทางกันเพราะเสียงคำวิพากษ์วิจารณ์นั่นเอง เหตุผลเพราะเมื่อโดนเสียงคำวิพากษ์วิจารณ์  เรามักขาดสติคือจะใช้ความรู้สึกนำหน้าโดยลืมใช้ปัญญาไปอย่าสนิท ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าปัญญาของเราหายไปไหน ทำไมเราคิดไม่เอาที่จะดึงเอาปัญญามาแก้ปัญหาแต่เรากลับเอาความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนำหน้า แล้วตามมาด้วยปัญหามากมายจนในที่สุดรับไม่ไหวก็ต้องแยกทางกันไป เพราะต่างคนต่างมองว่าตัวเองดีแล้วตัวเองถูกต้องแล้ว เมื่อคิดได้อย่างนี้การแยกทางเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ครั้งหนึ่งที่ฉันเคยมีประสบการณ์ทางความรักกับรุ่นพี่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่มีดีกรีระดับการศึกษาปริญญาโทของมหาลัยรัฐบาลชื่อดังแห่งหนึ่งที่อยู่ในระดับแนวหน้าของบ้านนี้เมืองนี้ ก่อนที่จะตัดสินใจแยกทางกันเพราะเรื่องมันมีอยู่ว่าเดิมทีฉันเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงและเชื่อมั่นศรัทธาในพลังแห่งรักเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาเมื่อชายคนรักได้แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งอย่างออกหน้าออกตา ฉันกลับมีความคิดน้อยอกน้อยใจจึงได้ประชดชายคนรักทุกวิถีทาง แต่แล้วเรื่องของใจฉันก็ไม่สามารถสลัดหรือตัดชายคนรักให้ออกจากใจไปได้

คนเราเมื่อความรักมาเข้าตามักทำอะไรลงไปโดยลืมเหตุผลเสมอ  ในขณะที่ชายคนรักพยายามอธิบายถึงเหตุผลเสมอว่าทำไมถึงมีผู้หญิงอีกคนเข้ามาในชีวิตของเขา แต่ด้วยความดื้อรันก็ไม่เชื่อใจชายคนรักอีกแล้ว  ต่อมาหญิงคนนั้นได้โทรมาหาแล้วแสดงตัวตนว่าเขาคือหญิงสุดที่รักของเขา ทุกครั้งที่ได้มีการไปปะทะคารมกับหญิงคนนั้นฉันก็แสดงความโกรธโมโหจนถึงขั้นแย่ที่สุดด้วยการแสดงอาการก้าวร้าวต่อชายคนรักอยู่เป็นประจำ  บางครั้งก็ใช้คำด่าที่หยาบคายเพื่อแสดงความโต้ตอบ จนกระทั่งชายคนรักเข้าใจไปว่าฉันนี่เป็นคนบ้า วิกลจริตไปเสียแล้วให้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีธัญญา ฟังดูแล้วเสียงคำวิพากษ์วิจารณ์ นั่นช่างเจ็บปวดเหลือเกิน

เรื่องมันมีอยู่ว่าหญิงคนนั้นพูดดีใส่ตัวพูดร้ายใส่เพื่อน ทำบอกว่าไม่ได้ทำ ไม่ยอมรับความจริงอะไรเลย แม้กระทั่งลงทุนทำอะไรที่ต่ำทรามแล้วโยนความผิดนั้นมาให้ฉันซึ่งแลกให้ได้มาซึ่งหัวใจของเขา และแล้วมันก็ได้ผลเสียจริง ๆ เสียด้วย ตอนแรก ๆ ยังก้าวไม่ทันความคิดของหญิงคนนั้น และแล้วด้วยความขาดสติของฉันเองจึงตกลงไปในหลุมพรางของเขา จนกระทั่งชายคนรักบอกว่าฉันนี่บ้าสติแตกทำตัวไม่สมกับคนที่มีการศึกษา ไม่เหมาะสมกับรางวัลต่าง ๆ ที่เคยได้รับมา ฟังดูแล้วเสียงนั่นช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน

แต่ภายใต้ความกดดันที่ได้รับแรงกระแทรกอย่างแรงจากหญิงคนนั้น หญิงที่พูดว่าฉันคือศัตรูของเขา หญิงที่ประกาศตัวว่าฉันคือศัตรู ฟังดูแล้วน้ำเสียงนั่นช่างน่ากลัวเหลือเกิน ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นหญิงที่มีการศึกษามีหน้าตาทางสังคม รับราชการเสียด้วย แต่คงขาดจรรยาบรรณ นิสัยที่ต่ำทรามของเขาไม่มีใครสัมผัสได้ทั้งหมดนี้เนื่องจากหญิงคนนั้นเป็นคนที่มีสติที่ดีกว่าตัวฉันเอง  ถ้าจะเรียกว่าปัญญาคงไม่ได้เพราะปัญญาคือสิ่งที่ดีงาม ปัญญาไม่มีวันทำร้ายใคร ดังนั้นฉันจึงขอใช้คำว่า หญิงนั่นมีสติมากกว่าฉัน เขารู้จักเรียนรู้ที่จะเอาชนะด้วยมารยามากกว่าความดีงาม

ทั้งหมดนี้เปรียบไปก็เหมือนกับการที่ฉันได้เจอกับหญิงคนนั้น ก็เหมือนกับการเจอลิงเกเรตัวหนึ่ง  เมื่อตราบใดที่ฉันนึกถึงหญิงคนนั้นมันจะทำให้ฉันได้นึกถึงลิงเกเรกับลูกมะพร้าวนั่นเอง  หากลิงมันขว้างมะพร้าวใส่เรา แน่นอนเราต้องหลบก่อน  แต่ลิงมันอยู่ในที่สูงย่อมได้เปรียบกว่าเราอยู่ดี  แต่ถ้าเรามีปัญญาหลังจากนั้นล่ะ ? เราจะหยิบมะพร้าวลูกนั้นขว้างกลับไปที่ลิง หรือเฉาะเปลือก แล้วดื่มน้ำควักเนื้อมากิน ?

ก็เหมือนอย่างที่บอกว่าฉันลืมปัญญา  ตอนนั้นฉันมีแต่ความรู้สึก  จึงโต้ตอบกลับไปสุดท้ายก็กลายเป็นคนไม่ดีชอบก้าวร้าว ควบคุมอามรณ์โกรธไม่ได้ ในใจมีแต่ความเจ็บแค้น แค้นหนึ่งที่ต้องสูญเสียคนรัก แค้นสองที่มาหยามหน้ากันทั้ง ๆ ที่มันชนะไปแล้ว มันก็ไม่ควรมาต่อปากต่อกรต่ออารมณ์ของฉันให้แตกกระจายไปไกลเกินกว่าที่จะควบคุมได้  ตอนนั้นฉันโง่ไปจริง ๆ ที่หลงเดินตามเกมส์ของผู้หญิงคนนั้นจนได้และแล้วในที่สุดฉันก็หูตาสว่างขึ้นหลังจากที่ได้เจอกับการสูญูเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉันนั้นก็คือ การสูญเสียความเป็นคนดีที่ขาดสติปัญญานั้นเอง

ปัญญาทำให้ฉันเริ่มได้สติ และถอยหลังออกมาตั้งหลักใหม่บนเส้นทางใหม่ที่ไม่มีหญิงคนนั้นกับอดีตที่เลวร้าย  ฉันเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยการเปลี่ยนและก็จงเปลี่ยน เริ่มต้นจากตัวเองนี่แหละเริ่มที่วิธีคิดเริ่มที่การปฎิบัติและเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงด้านของความรู้สึกทิ้งไป  เมื่อเปลี่ยนความรู้สึกทิ้งไปแล้วก็ให้ใช้ปัญญามาแทนที่ในตัวตนให้มากที่สุด เพราะท่าทีของคนมีปัญญาคือรู้จักใช้ประโยชน์จากมัน ดีกว่าที่จะเอามันไปขว้างใส่คนอื่นเพื่อแก้แค้น ท่าทีเช่นนี้จะช่วยเราได้มากเวลาเจออุปสรรค ความผิดพลาด หรือความล้มเหลว

ทันทีที่หัวใจของเราได้ผ่านการเปลี่ยนและจงเปลี่ยนให้ได้ เมื่อได้คิดถึงลิงเกเรแล้วฉันก็ถามตัวเองเช่นกันว่าทำไมฉันไม่เอาด้านของปัญญามานำหน้าความรู้สึกให้ได้ทำไมฉันต้องไปเล่นกับลิง ทำไมฉันต้องปล่อยให้ลิงมารังแกฉัน ทำไมฉันไม่นั่งกินมะพร้าวให้อย่างสบายใจ เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วฉันจึงได้เปลี่ยนหรือที่เรียกว่า  Change โดยการเอาปัญญาออกรับ เราจะเห็นสิ่งเหล่านั้นในอีกแง่มุมต่าง ๆ ได้มากขึ้นและช่วยให้เรามองเห็นทางออกใหม่ ๆ และก่อให้เกิดการค้นพบพลังที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตได้ด้วยสติปัญญานั่นเอง ผู้มีปัญญาสามารถแยกแยะสิ่งไหนควรทำสิ่งไหนไม่ควรทำได้อย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้น มันทำให้ความผิดพลาดในชีวิตของเราลดน้อยลงหากเราเดินด้วยปัญญา เพราะปัญญาคือแสงสว่างที่นำพาเราไปสู่ความสงบสุข และจะมีความสุขใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี

“หยุดคือตัวสำเร็จเมื่อคนเราหยุดด้วยปัญญา สรรพสิ่งที่กำลังเปลี่ยนดับมันด้วยการหยุด แล้วเราจะรู้ว่าหยุดคือตัวสำเร็จจริง ๆ ท่ามกลางการเปลี่ยนและจงเปลี่ยนเมื่อเราเอาหยุดมาเปลี่ยน เราจะเห็นด้านที่เป็นปัญญามากขึ้น เมื่อฉันไม่อยากเล่นกับลิงเกเร ในที่สุดแล้วลิงมันก็ไม่สนุกไม่มีความสุขที่ไม่มีใครเล่นด้วยกับมัน และเมื่อได้ผ่านการเปลี่ยนที่เป็นหยุดแล้ว ชีวิตของฉันก็มีความสุขมากขึ้น และมองดูลิงเกเรนั้นเดินจากไปอย่างสุขใจ เรื่องนี้สอนให้ฉันได้รู้ว่าท่ามกลางการเปลี่ยนของชีวิตถ้าเราเอาหยุดแล้วในที่สุดความสงบสันติก็จะตามมานั้นเอง

 

คำสำคัญ (Tags): #มณีเทวา#ลิงเกเร
หมายเลขบันทึก: 511616เขียนเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 14:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 ธันวาคม 2012 11:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ชอบการเขียนแนวนี้มากนะคะพี่มณีเทวาเป็นกำลังใจให้นะคะ รับไปเลยค่ะดอกไม้สวยๆๆอิอิ...


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท