ที่จริงบันทึกนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาครูของประเทศไทย ในบริบทปัจจุบัน และผมเขียนบันทึกนี้จากแรงบันดาลใจ ที่ได้เข้าร่วมประชุม ๒ การประชุมในวันที่ ๑๙ และ ๒๐ พ.ย.๕๕ ติดกันสองวัน และเกี่ยวข้องกับ สสค. ทั้งสองวัน คือวันที่ ๑๙ พ.ย. เป็นการประชุม เสวนาโต๊ะกลมนานาชาติทางการศึกษา ครั้งที่ ๑ จัดโดย สสค. ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยจัดที่ห้องประชุมสัญญา ธรรมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มี Assoc. Prof. Ora Kwo คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮ่องกง มาปาฐกถานำเรื่อง “Teachers’ Challenges in 21st Century : Pedagogy, Standardized Testing, and Paychecks” ตามด้วยการเสวนาโต๊ะกลม ๒ เรื่อง คือ “บทบาทหน้าที่ของครู และการทดสอบมาตรฐานในศตวรรษที่ ๒๑” และ “การวัดผลการทำงานครู และการผูกโยงเงินเดือนครูเข้ากับคะแนนการทดสอบมาตรฐาน” การประชุมนี้จัดช่วงเช้า
ส่วนการประชุมวันที่ ๒๐ จัดช่วงบ่าย จัดโดย สกว. กับสถาบันรามจิตติ แต่ไปใช้สถานที่ที่ สสค. เรื่อง “โครงการจับกระแสความเคลื่อนไหว และนวัตกรรมในการจัดการศึกษาและพัฒนาเด็กและเยาวชน” มี ดร. จุฬากรณ์ มาเสถียรวงศ์ เสนอผลการทบทวนองค์ความรู้ เรื่อง “จับกระแสการพัฒนาครูใน ศตวรรษที่ ๒๑ : ข้อคิดและทิศทางเพื่อการพัฒนาครูไทย” ซึ่งทบทวนความรู้สากลมาได้กว้างขวาง แต่ยังเก็บข้อมูลของไทยมาได้น้อย โดยข้อสรุปที่สำคัญยิ่งที่ได้จากการทบทวนความรู้ของ ดร. จุฬากรณ์ คือยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดของการพัฒนาการศึกษาที่เวลานี้ใช้กันทั่วโลก คือเน้นที่การพัฒนาครู
ที่จริงเมื่อจบการประชุมวันแรก ผมก็มีความสุขมาก ที่เห็นช่องทางการพัฒนาครูไทยชัดเจนแจ๋วแหวว ตามมุมมองของผม ซึ่งเป็นการมองหลักการ ส่วนการดำเนินการจริงนั้น สิ่งน่าหนักใจคือยุทธศาสตร์ Change Management หรืออุปสรรคในการเปลี่ยนแปลงระบบนั่นเอง
ในการประชุมวันที่ ๒ ผมจึงฟันธงเสนอที่ประชุม ว่าวิธีพัฒนาครูไทยที่จะให้ได้ผลต้องเริ่มที่การให้คุณ (reward) แก่ครู ผ่านผลงานการยกระดับผลสัมฤทธิ์ในการเรียน (Learning Outcomes) ของศิษย์ โดยหน่วยงานต้นสังกัดและโครงการพิเศษต่างๆ เข้าไปส่งเสริม(empower)ให้ครู โรงเรียน เขตพื้นที่การศึกษา หรือชุมชน ที่รวมตัวกันทำแผนยุทธศาสตร์และดำเนินการยกระดับผลสัมฤทธิ์ในการเรียนของนักเรียน
การ empower ดังกล่าวทำโดยส่งเสริมการเรียนรู้ของครู ให้ทำหน้าที่ครูในศตวรรษที่ ๒๑ ได้ดีขึ้น ให้ครูรวมตัวกันเรียนรู้จากการทำงานประจำ คือหน้าที่ครูในศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งต้องไม่เน้นสอนสาระวิชา แต่เน้นสร้างแรงบันดาลใจ และอำนวยความสะดวกในการเรียนแบบลงมือทำของนักเรียน การรวมตัวกันเรียนรู้จากการทำหน้าที่ครูนี้ เรียกว่า PLC (Professional Learning Community)
จะให้รางวัลแก่ครูได้ ต้องมีหลักฐานว่าครูได้ทำหน้าที่ยกระดับผลสัมฤทธิ์ในการเรียนของศิษย์ได้ผลดีกว่าเดิมจริง ซึ่งทางกระทรวงศึกษาฯ ได้มีดำริว่า จะผูกโยงเงินเดือนครูเข้ากับคะแนนการทดสอบมาตรฐานของศิษย์ และในวงเสวนาเมื่อวันที่ ๑๙ พ.ย. ครูและ ผอ. สถานศึกษาหลายแห่งมาบอกว่าเป็นวิธีคิดที่ตื้นเขินเกินไป เพราะการทดสอบมาตรฐานนั้น วัดเพียง ๑ ด้านใน ๔ ด้านของการเรียนรู้เท่านั้น นอกจากนั้นเด็กนักเรียนของต่างโรงเรียนอาจมีขีดความสามารถหรือพื้นฐานแตกต่างกันมาก จากการประชุม ผมคิดว่า ได้มติที่ชัดว่า ควรผูกโยงเงินเดือนหรือการให้คุณแก่ครูและผู้บริหารการศึกษา เข้ากับผลสัมฤทธิ์ในการเรียนของนักเรียนที่ตนรับผิดชอบ โดยมีวิธีวัดผลสัมฤทธิ์ที่รอบด้าน และดูที่ผลสัมฤทธิ์ที่เพิ่มขึ้นจากฐานเดิม ซึ่งผมคิดว่าต้องมีวิธีวัดทักษะ (แห่งศตวรรษที่ ๒๑) สำคัญ รวมทั้งให้ครูมีส่วนสร้างสรรค์วิธีวัดผลสัมฤทธิ์ด้านที่เป็นามธรรม และด้านคุณลักษณะด้วย
นั่นหมายความว่า กระทรวงศึกษาฯ ต้องเลิกคิดพัฒนาครูโดยการจับมาเข้าหลักสูตรฝึกอบรมตามที่ตนจัด ควรเอาเงินจำนวนนั้นไปสนับสนุนการจัดกิจกรรม PLC ของครู คือต้องพัฒนาครูโดยเน้นที่ Learning ไม่ใช่ที่ Training หรือใช้ในสัดส่วน Learning : Training = 80-90 : 10-20 และส่วน Training นั้น ให้ตัวครูเองเป็นผู้ตัดสินใจบอกความต้องการเองว่าต้องการเรียนอะไร จากหลักสูตรฝึกอบรมใด
Learning ในที่นี้คือ in-service learning หรือ PLC นั่นเอง
ผมได้เสนอที่ประชุมว่า เรื่องการพัฒนาครูในภาพใหญ่นั้น น่าจะพิจารณาสถาบันผลิตครู ซึ่งก็คือคณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ นั่นเอง ผมคิดว่า สถาบันเหล่านี้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นรูปแบบของสถาบันผลิตครูแห่งศตวรรษที่ ๒๐ เวลานี้ประเทศที่ครูมีคุณภาพเขาไม่ได้ผลิตครูแบบที่เราทำกันแล้ว และตัวสถาบันเขาก็เปลี่ยนแปลงไปมากมาย เป็นสถาบันผลิตครูแห่งศตวรรษที่ ๒๑ แต่ของเรายังคงที่ยึดมั่นอยู่กับรูปแบบของศตวรรษที่ ๒๐
ผมเสนอในย่อหน้าบนด้วยความเจียมตนว่าอาจเป็นความเห็นที่ผิด แต่ท่าน ศ. สุมน อมรวิวัฒน์ ท่านบอกว่า ท่านเสนอตามที่ผมพูดเป๊ะตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๕ แต่ไม่มีคนยอมทำตาม
สรุปอีกทีว่า การพัฒนาครูในศตวรรษที่ ๒๑ ต้องเน้นที่การเรียนรู้ของครู ที่เป็นการเรียนรู้จากการทำหน้าที่ครูโดยตรง เพื่อให้ทำหน้าที่ครูได้ผลดีขึ้น โดยวัดที่ผลการเรียนของศิษย์ เน้นที่การเรียนให้ได้ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑
วิจารณ์ พานิช
๒๐ พ.ย.๕๕
เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ครับ
น่าจะพิจารณาสถาบันผลิตครู ซึ่งก็คือคณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ นั่นเอง ผมคิดว่า สถาบันเหล่านี้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นรูปแบบของสถาบันผลิตครูแห่งศตวรรษที่ ๒๐ เวลานี้ประเทศที่ครูมีคุณภาพเขาไม่ได้ผลิตครูแบบที่เราทำกันแล้ว
แต่บ้านเราผูกติดกับระบบแบบเก่า เลยดำเนินงานยาก น่าจะมีการวางแผนของผู้ที่เกี่ยวข้อง พัฒนาครูให้เป็นระบบโดยมีพื้นฐานจากปัญหาในโรงเรียน
ขอบคุณมากครับ
ยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดของ การพัฒนาการศึกษา ที่เวลานี้ใช้กันทั่วโลก คือ เน้นที่การพัฒนาครู
วิธีพัฒนาครูไทยที่จะให้ได้ผลต้องเริ่มที่การให้คุณ (reward) แก่ครู ผ่านผลงานการยกระดับผลสัมฤทธิ์ในการเรียน (Learning Outcomes) ของศิษย์
เห็นด้วยสุด ๆ ครับ
............................................................................................................................
ศ. สุมน อมรวิวัฒน์ ท่านบอกว่า ท่านเสนอตามที่ผมพูดเป๊ะตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๕ แต่ไม่มีคนยอมทำตาม
น่าเสียดายนะครับ
...........................................................................................................................
ขอบคุณมากครับ ;)...
ขอบคุณท่านอาจารย์หมอมากๆค่ะ
ดีใจที่มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้ความสำคัญกับ Teachers' Learning มากขึ้น
ครูที่ดีต้องมีลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งคือใฝ่รู้ใฝ่เรียนอยู่เสมอ เป็น การเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่เห็น และ รู้จัก สิ่งใดแล้วสามารถนำมาปรับให้เข้ากับบริบทของตนและสร้างประโยชน์แก่นักเรียนได้
ขอให้แนวคิดนี้ของท่านอาจารย์เป็นรูปธรรมโดยเร็วค่ะ