วันนั้นเป็นวันที่ผมอยู่ดีๆก็รู้สึกท้องอืด มัน โตขึ้นมาเลยครับ ที่สุดภรรยาก็พาไปโรงพยาบาล ผมอยู่ที่นั่นคิดว่า คืนสองคืนก็กลับบ้านได้..เจาะเลือดมา หมอก็บอกว่าน่าจะเป็นโรคฉี่หนู เฮ้อ เข้าเค้า เพราะตอนนั้นไปช่วยแบกกระสอบเตรียมบ้านคุณแม่ของภรรยากันน้ำท่วมพอดี...แต่ก็แปลกกินยาตามที่หมอบอกก็ไม่หาย...คราวนี้.หมอเจาะแล้วเจาะอีก เปลี่ยนมืออีกสองหมอ.. ก็หาไม่เจอว่าเป็นโรคอะไร...ผ่านจากวันที่หนึ่งมาสองสามสี่ และวันที่ห้า..จนที่สุดมีหมอท่านหนึ่ง รู้จักกับภรรยา..เดินมาแวะเยี่ยม...เคาะไปเคาะมา ท่านบอกว่า.. “ไส้ติ่งแตก”...จริงดังว่าเลยย้ายโรงพยาบาลไปที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์...ผ่าฉุกเฉินเที่ยงคืนนั้น...ก็ไส้ติ่งแตกจริงๆ..แต่เป็นเคสหายาก เพราะแตกแล้วมันมีกระเปาะมาหุ้มเลยไม่กระจาย ไม่งั้นตายไปตั้งแต่วันแรกแล้ว...แถมมันยังไปรัดลำไส้ ซ่อนอยู่หลังลำไสเล็ก ทำ MRI ที่โรงพยาบาลแรกก็ยังมองไม่เห็นเลย...ที่สุดอยู่ไปอีก 8 วัน...
(ภาพ: ลานพระพุทธรูปปางลีลา วัดป่าธรรมอุทยาน ที่ระหว่างบวช ผมมักหาเวลามาที่ลานนี้ครับ เพราะทำให้ระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า)
......
ครับนอกจากคนมาเยี่ยมจะเป็นคนรัก คุณพ่อคุณแม่...ลูกศิษย์ เพื่อนร่วมงานแล้ว...ยังมี เทวทูตครับ..ตอนที่ป่วยครั้งแรก...ก็เลื่อนงาน เลื่อนนัดหมาย..พอกินน้ำเกลือเข้าวันที่สาม ร่างกายมันเพลียมากๆ กินแต่น้ำเกลือมาวันที่สาม ก็ลืมเรื่อง Appreciative Inquiry ที่ต่อสู้ ปลุกปั้นมาหลายปี ลืมงาน ลืมการสอน...มานึกถึงลูกเมีย.ว่า ถ้าตายเขาจะอยู่ยังไง..ที่สุดครับ..พออยู่โรงพยาบาลหลายๆวัน วันที่ 5-6 คือหลังผ่าตัดครับ..ก็เหมือนโลกลอย เบลอๆ...มันงงๆ คิดอะไรไม่ออก...กลัวตาย มากกว่าเดิม...ที่กลัวจนขนหัวลุกก็คือ...
......
ผมนึกอะไรไม่ออก..ไม่มีแรง ขนาดอยากบอกให้แฟนค้นหาธรรมะที่ชอบใน Iphone ก็งง ไม่รู้จะบอกยังไง..มันลอย โหวงๆ คิดไม่ออก...จะหายใจทำอาณาปาณสติ จะเคลื่อนไหวการ จะภาวนาพุทโธ...อะไรที่เรียนรู้มาก็ทำไม่ได้ครับ.. ตอนนั้นอยากบอกว่า แม้กระทั่งลูกเมียก็เถอะ...ผมลืมไปเลย นึกไม่ออก...มันลอย มันโหวง ไม่มีแรงครับ..ตอนผ่าตัดมา พอฟื้นหมอให้สังเกตอาการฟื้นตัวครับ..ว่า มีตดมาหรือยัง..คืนนั้น ผมลืมทุกอย่าง..อยู่อย่างสัตว์บาดเจ็บกลัวตาย ผมล้นครับว่าจะมีตดออกมาหรือเปล่า...ผมอธิษฐานอย่างเดียวเลยครับ..ตั้งแต่พระพุทธเจ้า เจ้าแม่กวนอิม...
ที่สุดตอนตีสี่ ก็ได้ยินเสียง ปู๊ดเบาๆ ตดมาแล้วครับ..ผมว่าผมฝันไปหรือเปล่า...สายๆ มาอีก...คราวนี้รอบลุ้นอีกว่าจะมี อึ มารึเปล่า..เพราะไม่มาก็ยุ่งครับ...ที่สุดก็มา...
ได้แต่สะท้อนใจครับ..มีทุกอย่างตั้งแต่เมียสวย ลูกน่ารัก...ความรู้ ฐานะ...ที่สุดมาลุ้นตด ลุ้นอึ...หาสาระอะไรไม่ได้..
.....
แต่สิ่งที่น่ากลัว แล้วเริ่มทำให้ผมคิดถึงการบวชจริงๆ คือ..ผมเองผมว่าผมอ่านหนังสือธรรมะเยอะมากๆ...เคยช่วยงานกลุ่มศึกษาพุทธศาสตร์ พาคนไปบวชรวมกันกว่า 200 คนแล้วนับตั้งแต่ปี 31 ยี่สิบปีที่ผมจริงจัง ฟังซีดีมันวันละสองสามม้วน...หนังสือธรรมะแทบท่วมบ้าน...ปฏิบัติดูจิตดูใจบ้างมาตลอด..พอจะตาย ผมหมายถึงตอนนั้นผมพร้อมจะตายได้ตลอด บางช่วงต้องให้ก๊าซอ๊อกซิเจน..แต่ผมค้นพบครับว่าผมไม่สามารถนึกถึงข้อธรรมะใดๆ ที่จะทำให้ผมมีกำลังใจอยู่ต่อสู้กับสิ่งที่ผมไม่เห็นอย่างเบิกบาน ผมอยู่อย่างซึมๆ หดหู่ ฝึกสมาธิมาก็ลืมเอาไปใช้ไม่ได้...
...
ผมลงความเห็นเลยครับ..ว่าผมไม่รู้จริง...ผมเริ่มคิดถึงการบวชทันที ก็นี่แหละครับ เหตุที่ผมมาบวชที่วัดป่าธรรมอุทยาน...
เมื่อบวชสิบวันแรกก็เริ่มเข้าใจแล้วครับ..อ้อมันเป็นอย่างนี้ครับ...ที่ผ่านมาเราฟัง เราเลยรู้ (เป็นสุตมปัญญา) แถมพอเรามีข้อมูลมากพอ เราก็เอาสิ่งที่เรารู้ในความทรงจำมาผูก มาเชื่อมต่อกันไปมา เราเลยรู้มากกว่าเดิม (จินตมปัญญา) เราเลยคิดว่าเราปฏิบัติธรรมอยู่ตลอด (ภาวนามปัญญา)....ค้นพบเลยครับ ว่าเราขาดการปฏิบัติ...ความรู้ที่เรารู้มา..มันเพียงมาอยู่ในสมอง ที่เป็นอวัยวะหนึ่งของเราเท่านั้น..ทุกท่านก็รู้ว่าร่างกายเรามันอาศัยพลังงานขับเคลื่อน..เมื่อคุณเจ็บป่วยร่างกายได้รับแต่น้ำเกลือ..คุณจะมีแรงที่ไหนไปดึงความจำ ที่อยู่ในสมอง อันเป็นอวัยวะหนึ่งของคุณมาสร้างการเชื่อมโยง (ศาสนาพุทธเรียกว่าการปรุงแต่ง หรือสังขาร) คุณไม่มีแรงจริงๆ...นั่นเป็นสาเหตุทำไมผมถึงรู้เยอะ แต่ทำไม่ได้ ทำไม่ออก เพราะผมไม่มีแรงปรุงแต่งความจำ (ความรู้ด้านพุทธศาสนา) นั่นเอง..
....
ครับเทวทูตมาเตือนครับ..ช่วงนั้นนับเป็นช่วงมหัศจรรย์จริงๆ..เป็นช่วงที่ผมเริ่มรู้ว่า “ผมไม่รู้” ผมรู้ว่าจริงๆแล้วผมเป็นเพียง “นักจินตนาการแห่งพุทธศาสนา” เท่านั้น ผมไม่ได้เป็น “นักปฏิบัติ” อย่างที่ผมเข้าใจเองมาตลอด ช่วงนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของการเห็นเส้นทางสายใหม่ ของผม..วันที่ผมจะเริ่มเป็น “นักปฏิบัติ” วันที่ผมเริ่มตั้งเป้าหมายว่า ผมจะตายแบบสงบ ตายแบบไปดี ตายแบบไม่กลัวตายอย่างนี้อีก..
สำหรับวันนี้ เท่านี้นะครับ ยังมีตอนตอนไป..สำหรับเรื่องราวตอนนี้ ผมเพียงแต่เล่าให้ฟัง..ลองพิจาณาดูนะครับ
(ภาพ: 48 ชั่วโมงก่อนกลับมาเป็นฆราวาส)
เช้าวันนี้อ่านบันทึกทำนองนี้มาสองบันทึกแล้วของคุณคนบ้านไกลด้วย คนเราสิ่งที่ยังไม่เรียเลยคือการเตรียมตัวสู่สภาวะการตาย เมื่อเร็วๆนี้ดิฉันก็ผ่านสภาพนั้นมาได้เรียนรู้อีกขั้นตอนหนึ่ง สลดและอยู่กับตัวเองเท่านั้น ม่อยากได้อยากดีหมดเรี่ยวแรงแล้วแต่จะเป็นไป และการเฝ้าดูตัวเองค่อยๆฟื้นคืนกำลังก็เข้าใจว่าคนเราต้องดูกายใจตนเองก่อนอย่างนี้นี่เอง ก่อนนี้ไม่เคยเข้าใจไม่มีสติพอจะจดจ่อตัวเองนานๆเช่นนี้เลย ขออนุโมทนาบุญกับการเรียนรู้ชีวิตช่วงสำคัญเพื่อรับสถานการณ์จริงนะคะ
ยินดีด้วยครับ..
พระพุทธเจ้าก่อนจะตัดสินใจออกบวชก็เจอเทวทูต คือ คนเกิดแก่เจ็บตาย ท่านเกิดสะท้อนใจเช่นกัน...และเป็นที่มาของการตั้งคำถามและตั้งทิศทางใหม่ของท่านครับ
อนุโมทนาเช่นกันครับ...
อ่านบันทึกนี้ด้วยใจจดจ่ออย่างยิ่งเลยค่ะ
ช่วยตอกย้ำ เตือนสติให้ระลึกถึงความไม่ประมาท
ขอบพระคุณ สำหรับประสบการร์จริงที่นำมาแบ่งปันค่ะ
"ให้ทำดีที่สุดในวันนี้ เรายังไม่รู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้อีกไหม ก่อนออกจากบ้านให้กราบลาพ่อ แม่ ทุกครั้ง" นี่เป็นคำพูดของเพื่อนทีทำงานที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ข้อคิดที่ดีคะอาจารย์
สวัสดีค่ะอาจารย์
ใส้ติ่่งอาจารย์คงแตกมาหลายวัีน จนร่างกาย สร้างเกาะห่อหุ้มเอาไว้ ปกติที่เคยเห็นหมอจะไำม่ผ่าตัด จะรักษาด้วยยา แต่นี่กลับมีพังผืดอุดตันลำไส้อีกใช่มั้ยคะ การผ่าตัด คงทำยากนิดหนึ่ง
ด้วยประสบการณ์ของการเป็นพยาบาลวิสัญญี ทั้งจากประสบการณ์ตรงและการเฝ้าคนไข้ใกล้ฟื้นจากยาสลบ มันค่อนข้างน่ากลัวค่ะ คนไข้บางคนก็เพ้อ ป้าแดงเองก็เพ้อ เห็นอะไรไปต่างๆนาๆ
ยิ่งตอนทำบล็อกหลัง ยาใกล้หมดฤทธิ์ เหมือนตัวลอยขึ้นไปชนอยู่กับเพดานห้องแน๊ะค่ะ คนไข้บางคน ที่มีพยาบาล เฝ้าใกล้ชิดจึงต้องเพิ่มยาให้
อาจารย์มีประสบการณ์ตรง นำไปบอกต่อกับใครๆได้ รวมถึง ข้อปฏิบัติธรรมต่างๆ เป็นสุดยอด แห่ง "ครู..ผู้ให้" จริงๆค่ะ
รักษาสุขภาพนะคะ
มหัศจรรย์จริงๆ
ผมเข้าบรรชาเมื่อวันที่ 4-27/11/12 ที่ผ่านมานั้น ก่อนถึงวันลาสิกขา ผมแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่เพราะผมเพียงคิดว่าจะมีโอกาสน้อยมากที่เราจะได้เข้ามาบวชอีกครั้งเป็นครั้งที่ 4 เพราะผมเคยบวชตามประเพณี คือ ครั้งที่1 บวชตอน 8 ขวบ , ครั้งที่2 บวชตามประเพณีตอน อายุ 26ปี ,และครั้งที่ 3 วันที่ 4-27/11/12 บวชเพราะอยากบวชมากๆ และผมได้มีโอกาสมาที่นี่ ทำให้ผมสำนึกได้ว่า"สิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือ
ความยิ่งใหญ่ คือ จิตใจดวงเล็กๆที่กล้า ตัดใจจากทางโลกมาสู่ทางธรรม" ซึ่งพระหลายๆรูปก็สามารถทำต่อกันมาได้ใกลจนถึงยุคกลางทางพระพุทธศาสนา เข้าปีที่2600ปี และถึงแม้ว่าผมเองอยากจะบวชแบบไม่มีกำหนดก็ตาม แต่ผมจะต้องลาสิกขาออกมาเพื่อทำหน้าที่ทางโลกที่ผมยังมีห่วงที่ได้สร้างมาด้วยความรัก แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ผมจะต้องทำหลังจากนี้แม้ว่าผมเองจะไม่ได้อยู่ในฐานะบรรพชิตแล้ว ก็ตาม เพื่อสืบสานพระพุทธศาสนาก็คือ การเริ่มจากจุดเล็กๆโดยสร้างกรรมดี นำทางให้คนใกล้ชิดได้เข้าถึงพระธรรมให้ได้มากที่สุด แม้ว่ามันอาจจะไม่ทำให้เขาๆและเธอหลุดพ้นได้ทั้งหมด แต่ผมก็เชื่อว่า"จุดเล็กๆจุดนี้ มันจะกลายเป็นความยิ่งใหญ่ได้ภายในใจเราทุกคน"ครับ และผมก็เชื่อว่าผมถูกกำหนดมาให้อยู่ตรงจุดใด เมื่อถึงเวลานั้นสิ่งที่ผมตั้งใจไว้ก็จะเป็นจริง
ขอบคุณครับ
นักรบของพระพุทธเจ้า
"ไร้อาวุธ ทำลายล้าง แต่ใช้พลังธรรม มาล้างใจ"