เสียงเพลง "แม่พิมพ์ของชาติ"จบลงพร้อมกับการภาวนา ระลึกรู้ลมหายใจของฉัน
เมื่อรถน้องจุ๊จอดสนิทที่ริมฟุตบาทหน้าโรงเรียนวัดป้อมวิเชียรโชติการาม
เป้าหมายเราทั้งสามคน คือน้องจุ๊ น้องพรอม และคือฉัน ต่างมีเป้าหมายเดียวกัน......ที่
.....งานฌาปนกิจศพผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ณ เมรุ วัดป้อมวิเชียรโชติการาม.....
จอดรถแล้วบอกฝากพี่ริมฟุตบาทว่า ฝากรถด้วยนะ
แล้วเราสามคนก็เดินข้ามถนน และเข้าไปบริเวณวัด
ผู้คนหลั่งไหลกันมาจนพื้นลานวัดเต็มไปด้วยสีขาวดำ และ เครื่องแบบข้าราชการสีกากีเต็มยศ
พิธีฌาปนกิจศพเป็นไปอย่างราบเรียบแต่ทรงไว้ซึ่งศรัทธา และเป็นแบบอย่างที่ดี
ศรัทธาในผู้วายชนม์ ผู้เป็นแม่พิมพ์ของชาติ ผู้สร้างชาติ
และสร้างอนาคตของลูกหลานคนเมืองสาครบุรี (สมุทรสาคร)
ให้เติบโตมีหน้าที่การงาน และฐานะมั่นคง สร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติมามากต่อมาก
ในขณะที่ท่านยังรับราชการอยู่
จึงได้ชื่อว่าเป็นครูในดวงใจของลูกศิษย์ เป็นครูที่หนูรัก
และเป็นพี่ที่ดีของน้องๆ และของ เพื่อนๆ ครู ทั้งในโรงเรียน และนอกโรงเรียน ผู้ร่วมงานทุกคน
ถ้ายุคนั้นมีครูแสนดี เช่นยุคสมัยนี้ ฉันคิดว่า อ.แม่ รุ่นพี่ท่านนี้จะต้องมาเป็นอันดับ1
ของการสรรหาครูแสนดีแท้ๆ เป็นแน่เชียว
เนื่องด้วยท่านเป็นครูที่ดี และทำหน้าที่แม่พิมพ์ด้วยจิตวิญญาณ ของความเป็นครู
ที่ยากจะหาใครเท่าเหมือน
"อาจารย์แม่ทองทิพย์ จุลกะรัตน์" อดีตข้าราชการครูโรงเรียนอนุบาลสมุทรสาคร ได้ลาออกจากราชการ
ก่อนเกษียณ์อายุราชการ เพื่อมาดูแลสามีและลูกในขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่ง
เป็นข้าราชการครู ตำแหน่งอาจารย์ 2 ระดับ 7
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษาจังหวัดสมุทรสาคร(สมัยนั้น)
ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็นสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร
จากอดีตของการทำงานที่ทุ่มเทให้กับทางราชการครู ท่านเหน็ดเหนื่อยมามากแล้วถึงเวลาพักผ่อน
และในระยะหลังได้เข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลสมุทรสาคร.....จนจากไป
ไปสู่สรวงสวรรค์ด้วยใบหน้าอิ่มเอม ปราศจากความทุกข์ใดๆ สิริอายุได้ 72 ปี
หันซ้ายแลขวาจึงพบเห็นเพื่อนอาชีพเดียวกันในชุดข้าราชการสีกากีอีกกลุ่มใหญ่
อีกกลุ่มใหญ่อยู่ในชุดนางฟ้าสีขาวสะอาดตา
แสงสะท้อน ชุดสีขาวของเหล่าพยาบาล และสีกากี
ส่องเข้ามาให้รู้สึกถึงแสงสีขาวที่คาดตาด ด้วยสีทองงดงามยิ่ง
ทุกคนต่างมีสีหน้าเศร้า ต่อการจากไป ด้วยความรู้สึกอาลัย
ต่ออาจารย์แม่ของวงการครูจังหวัดสมุทรสาครในระหว่างนั้นพระสงฆ์ขึ้นพิจารณาผ้าบังสกุล
ฉันก็ได้นั่งพิจารณาตามความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเงียบๆ
เมื่อได้เวลาทุกคนยืนขึ้นเคารพศพ เสียงพระสวดพระอภิธรรมดังขึ้น
ฉันเดินตามผู้ตนมากมาย ขึ้นไปบนเมรุเช่นเดียวกับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านด้วยอาการสงบ
และนึกภาวนาชีวิตมีเพียงเท่านี้เอง
เกิดแก่เจ็บตายเป็นของธรรมดาๆคือธรรมชาติ
และทุึกคนต้องการผ่านช่วงนี้ไปด้วยจิตพิสุทธิ์ และเบิกบาน
เมื่อทำความเข้าใจได้แล้วจึงควรหันมาปฏิบัติตน มุ่งมั่นสร้างกรรมดี
การฝึกเจริญภาวนาก็เพื่อวันนี้วันเดียว วันที่เราต้องจากโลกนี้ไปเพียงคนเดียว ก็เรามาคนเดียว
จะมัวคิดถึงใคร จะบอกให้คนอื่นไปกับเราด้วยคงมีแต่เสียโต้แย้งว่า"ยังไม่พร้อม"
การจากไปของ อ.แม่ทองทิพย์ จุลกะรัตน์ จึงนับว่าเป็นเครื่องเตือนสติมิตรครูทุกท่าน
อย่าได้ประมาทในการใช้ชีวิต
เพื่อเราทุกคนจะได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ ปล่อยวาง และเจริญธรรมอยู่ในเส้นทางแห่งความดี
จนกว่าจะได้พบพระนิพพาน ดั่งอาจารย์แม่ทองทิพย์ จุลกะรัตน์ ได้ปฏิบัติเป็นเยี่ยงอย่างมาตลอด
"ขอดวงจิต พิสุทธิ์ยิ่ง เจริญขวัญ
ผันหน้าสู่ แดนดิน ถิ่นสวรรค์
ขอพรฟ้า เบิกเนตร ทั่วเขตคาม
ประทานพร แม่ทองทิพย์ จุลกะรัตน์ ............สู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์"
แด่ อ.แม่ทองทิพย์ จุลกะรัตน์ ผู้เปรียบเสมือน แสงเทียนสีทองที่จากไป
เสียงเพลงกลับบรรเลงขึ้นในใจฉัน ฉันสูดลมหายใจเข้าเบาๆ และหายใจออกเบาๆ
ตระหนักรู้และเข้าใจ
บทบาทของครูนั้นไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าจิตวิญญาณของครูผู้ให้จะละสังขารไม่กลับมา
แม่พิมพ์ของชาติ คำร้อง/ทำนอง : สุเทพ โชคสกุล
ครูคือใคร?
โดยกวีเอก เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ขอบคุณพระคุณของคุณครูผู้ยิ่งใหญ่ทุกท่าน
ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านที่เอื้อนเอ่ย
ขอบคุณที่เฉลยความรู้สึกจากภายใน
ขอบคุณค่ะ
ไม่มีความเห็น