อารัมภบท
กิจกรรมโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ : ผู้นำนันทนาการค่ายวิชาการ “ศึกษิต” ภาษาไทย สำเร็จลงไปแล้วด้วยความหวังเล็กๆของตัวกระผมเองที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดของนักศึกษา ภายใต้ภาวการณ์จำกัดทางนโยบายที่ หากจะบอกว่าไม่เอื้ออำนวยต่อวงการกิจกรรมนักศึกษาเลยก็ว่าได้ เพราะเพียงแค่การเชิญวิทยากรภายนอกมาสร้างแรงบบันดาลใจให้แก่นักศึกษายังถูกกีดกันจากแนวนโยบายที่กำหนดไว้ว่า “ไม่สามารถทำได้” แต่ถึงอย่างไรก็ดีในภสวะนี้ทำให้ผมหวนคิดถึงถ้อยคำสำนวนติดปากของพี่ชายสุดที่รักของผมเสมอว่า “ใจนำพา ศรัทธานำทาง” (พนัส ปรีวาสนา นักเลงกิจกรรม แห่ง มมส ) คือการที่เรามีความเชื่อว่า สิ่งนั้นมีได้เพราะใจเราบอกว่ามี
อย่างไรก็ดี เวทีการจัดกิจกรรมในครั้งนี้
ผมเองในฐานะของผู้ขับเคลื่อนโครงการ
พยายามที่จะฉีกขนบเก่าที่ถือปฏิบัติกันมาจนเป็นแบบแผนตายตัวแล้วว่า
การจัดกิจกรรมนั้นคือ สิ่งที่สถาบันจัดให้แก่นักศึกษา (อาจจะเป็นเพราะเราไม่คุ้นชินกับการทำกิจกรรมลักษณะนี้ก็ได้)
โดยที่ผมพยายามผลักดันให้นักศึกษาเองเป็นผู้ดำเนินการทุกอย่าง
ตั้งแต่การสอนน้องทำงาน สอนนันทนาการเพื่อเป็นประโยชน์ในการไปจัดกิจกรรมค่าย “ศึกษิต”
ภาษาไทย ในโรงเรียน และที่สำคัญคือ กิจกรรมนี้ ผมใช้เป็นเวทีการ “มอบงาน
ให้น้องได้สานต่อ” ในการทำกิจกรรมค่ายของสาขาวิชา
เป็นที่น่าประทับใจว่า การมอบงานครั้งนี้นับเป็นกระบวนการสรุปงานและส่งมอบงานค่ายอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประวัติการของกิจกรรมที่มีการดำเนินงานมา ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นอานิสงค์จากการเป็นเจ้าหน้าที่งานกิจกรรม ทำกิจกรรม สอนความเป็นคนมาก่อนที่จะได้เข้าสู่วงการสอนหนังสือ เพราะการที่เราสอนหนังสือก็คือการให้อาวุธแก่นักศึกษา แต่การสอนกระบวนการทำงานด้วยตนเองนั้นผมมองว่ามันคือการสอนให้เขาเอาอาวุธนั้นมาใช้ บรรยายกาศของการมอบงานนั้นแสนอบอุ่นเพราะคณาจารย์ทุกท่านให้เกียรติมาร่วมเป็นสักขีพยานและให้กำลังใจนักศึกษาอย่างคับคั่ง
ภาคเช้า
เราเริ่มกระบวนการพัฒนานักศึกษาด้วยการเปิดเปลือยตัวตน (เล่าเรื่องฉัน ฟังเรื่องเธอ) ด้วยการบอกเล่าประสบการณ์ความเป็นมาของตนเองให้แก่เพื่อนได้รับรู้ เป็นการจัดการความรู้ระดับตนเองก่อนเพื่อเตรียมความพร้อมแก่การเรียนรู้ตลอดทั้งวัน ซึ่งเรื่องราวที่แต่ละคนเล่าให้เพื่อนฟังนั้น เป็นเรื่องราวของความลับที่ตนเองไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อน ผมพยายามให้เขาได้ลดภาวะความเก้อเขินในการเรียนรู้ ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่นักศึกษาแต่ละคนเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้ จะมีทั้งคนที่ซื่อสัตย์ต่อการเล่าและการโกหกตนเองในการเล่าก็ตามที ก็น่าประทับใจที่เขาได้เปิดวงสนทนากันระหว่างเพื่อนกับเพื่อน หลายคนเกินกว่าครึ่งห้อง ยอมรับโดยดุษฎีว่านี่คือการเปิดปากคุยกันครั้งแรกระหว่างเพื่อน แม้ว่าจะเรียนอยู่ห้องเรียนเดียวกันมาเป็นเทอมแล้วก็ตาม
ต่อจากนั้นจึงยกเวทีทั้งหมดให้แก่พี่ เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ตรงในการทำกิจกรรมให้แก่น้อง ซึ่งเป็นกิจกรรมเบาๆ สอนเพลงค่าย เกม รวมทั้งเทคนิคการเป็นผู้นำนันทนาการ เห็นว่านักศึกษาเขาตื่นเต้นกันดีใจการที่พี่สอนน้อง มากกว่าอาจารย์สอนลูกศิษย์ทั้งสองฝ่ายต่างก็เรียนรู้ร่วมกันอย่างเรียบง่าย และเป็นกันเอง ปราศจากทฤษฎีและกฎเกณฑ์ที่บีบบังคับ ผมเองทำหน้าที่นั่งเฝ้าดูความรื่นไหลของกิจกรรมอยู่ไม่ห่าง เพราะหลายต่อหลายครั้งที่ นักศึกษาเขาจะต้องขอให้เราช่วยบ้าง
ภาคบ่าย
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกัน จึงเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้การจัดกิจกรรมค่ายวิชาการอย่างเต็มตัว คือการจัดฐานวิชาการ เวทีนี้ตัวพระตัวนางของกิจกรรมเห็นจะเป็นรุ่นพี่อย่างเต็มสูบ ต่างก็ตั้งใจถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้แก่น้องๆอย่างเต็มที่ ความชื่นมื่น ความสนุกสนานเกิดขึ้น จากการแบ่งกลุ่มให้นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติการเป็นดำเนินการกิจกรรมฐานเอง เป็นผู้นำ เป็นผู้ตามเอง เสมือนหนึ่งการจำลองสถานการณ์ค่ายมาให้นักศึกษาได้ทดลองเข้าร่วมก่อนที่จะออกสู่สนามจริง เพราะเหตุที่ว่า ค่ายวิชาการ การที่จะนำเอาความรู้ไปสอนแก่นักเรียน จำเป้นอย่างยิ่งคือ คนที่จะเป้นครู แม้เพียงชั่วโมงเดียว ก็จำเป็นที่จะต้องมีการฝึหฝนทักษะ และความรู้ให้แน่นอนก่อนที่จะทำการสอน
ก่อนที่จะสรุปกิจกรรมด้วยการสรรหาคณะกรรมการบริหารโครงการชุดใหม่ ก็คือการสรุปกิจกรรมทั้งวันที่ได้ดำเนินการมาทั้งวัน แน่นอนว่าการดำเนินกิจกรรมครั้งนี้ แม้ว่าทุกกิจกรรมจะไม่ได้สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งเป้าไว้อย่างสวยงาม แต่ผมก็ถือว่านี่เป็นการจุดเทียน ในสายหมอกจัดต่อการทำกิจกรรมของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มหาวิทยาลัยเล็กๆ ที่พยายามจะก้าวสู่การบริการท้องถิ่น หากแม้นเทียนที่ผมจุดนี้จะลุกไสวต่อไปได้ก็คงเป็นเพราะเชื้อเพลิง คือนักศึกษาเหล่านี้ที่จะจุดให้เป้นดวงไฟไล่สายหมอกที่เป็นดั่งแนวนโยบายที่อึมครึม และหากมันจะมอดดับลง ผมก็ยังได้ถูมิใจว่ากระบวนการที่ผมได้ร่ำเรียนมานั้นได้หยั่งรากลงสู่แดนดินอีสานใต้แห่งนี้แล้ว....
ขอบคุณพื้นที่ดีๆในการบันทึกความทรงจำครับ...
เป็นบันทึกที่สะท้อนถึงกระบวนการที่ดีมากครับ เสมือนรายงานกิจกรรม -กระบวนการไปในตัว
การจุดเทียนเล่มแรก ท่ามกลางวัฒนธรรม บริบทใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นชิน ขอให้มองเป็นความท้าทาย มองด้วยพลังเชิงบวก -
อย่าลืมวาทกรรมนี้นะครับ "สอนงาน สร้างทีม" เพราะมันเป็นทั้งระบบและกลไก ที่จะช่วยให้องค์กรเข้มแข็ง เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้...
ขอบคุณมากครับพี่นัส...บนเส้นทางสายกิจกรรม ผู้ทำคือผู้เรียนรู้ครับ