เภสัชกรไปเยี่ยมบ้าน ไปแล้วได้อะไร ??


สิ่งที่เปลี่ยนแปลง และขัดเกลาจิตใจ ผมก็คือ ผู้ป่วยที่เราไปดูแลเขา

เภสัชกรไปเยี่ยมบ้าน ไปแล้วได้อะไร ??

โดย ภก.ศุภรักษ์ ศุภเอม


                 ผมเอง เป็นเภสัชกร เหมือนๆ กับ เภสัชกรทั่วไป ที่อยู่ในห้องจ่ายยา จ่ายยาทั้งวัน นอกจากนั้น ก็ต้องไปประชุม และเป็นนิเทศงาน พร้อมทำงานเอกสารต่างๆ จุดเปลี่ยน ของชีวิต อยู่ที่ ปี 2539 ผมได้ทำงานปีที่ 2 ที่โรงพยาบาลสำโรง จ.อุบลราชธานี  ผมได้มีโอกาสอบรม กับเภสัชกรคนไทย ที่เป็นอาจารย์สอน Pharm D อยู่อเมริกา มาให้แนวคิดเรื่อง การบริบาลทางเภสัชกรรม ซึ่งเน้นการดูแลผู้ป่วย มากกว่า แค่จ่ายยาไปวันๆ และได้แนวคิดเรื่องการดูแลผู้ป่วย จากพีีซิง เภสัชกรจากร้านเรือนยาที่โด่งดังนั่นเอง เรียกว่า หน้าต่างบานแรก ของการทำงาน เภสัชกร คือ งาน patient care จึงทำให้ให้ผม มีแรงบันดาลใจในการทำงาน ในตอนแรก ตอนบ่ายๆ คนไข้ไม่มาก  ผมจึงมีเวลาว่างไปเยี่ยมสถานีอนามัย และไปเยี่ยมคนไข้วัณโรค และคนไข้โรคเอดส์ ที่ตอนนั้น เป็นเอดส์ แปลว่าตายแน่นอน ตอนนั้น ผมจึงเรียกคนไข้เอดส์ว่า คนตายเดินดิน หรือ dead man walking ในการเยี่ยมคนไข้ TB ผมเน้นติดตามให้คนไข้กินยาให้ครบ และดู อาการไม่พึงประสงค์จากยาที่อาจเกิดขึ้นด้วย ซึ่งคนไข้วัณโรคหลายรายก็แพ้ยา ในตอนนั้น งานวัณโรค เป็นงานของฝ่ายสุขา แต่ผมคิดว่าไม่ใช่ เพราะเรื่องคนไข้ใช้ยา คือเรื่องของเภสัชกร การได้ไปเยี่ยมบ้านคนไข้ ได้เห็น คนชนบทว่าเขาอยู่กันอย่างไร ได้ไปดูคนไข้เอดส์ที่นอนรอความตายอยู่ที่บ้าน ได้ไปรักษาให้ยาและสมุนไพร เพื่อบรรเทาอาการคนไข้เอดส์ ได้ไปคุยกับคนไข้เอดส์ที่ใก้ลตาย  ในตอนนั้น ผมไม่รู้ว่า สิ่งที่ผมทำเขาเรียกว่า pallative care แต่อย่างไร ก็ตาม การได้เยี่ยมบ้าน ได้ไปเห็นชีวิตผู้ป่วยที่บ้าน เห็นการเก็บยาของผู้ป่วยแบบแปลกๆ  ได้เห็นผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมาน ที่นอนรอความตายที่บ้าน ซึ่งคนเหล่านี้ ไม่เคยมาโรงพยาบาลเลยก็มี ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยเอดส์ มะเร็ง และไตวาย

   การออก ไปเยี่ยมบ้านในปี 2539  แบบตามใจฉัน โดยสมัครใจ ได้เปลี่ยน ความคิดของคนเมืองชนชั้นกลาง  ลูกชายของข้าราชการ ที่มีอันจะกิน ไปตลอดกาล โดยผมได้แง่คิดที่รู้สึกได้ว่า

1 คนชนบทอีสานนี่ลำบาก ทุกข์ยาก ไม่น้อย

2 พวกเขามีน้ำใจ และ จริงใจมากพอสมควร

      ในตอนนั้น โรคบ้าทุนนิยม อยากร่ำรวย มีอำนาจ ตามแบบอย่างของคนรุ่นใหม่ ผมได้รับการรักษาเยียวยาไปพอสมควร คือ แบบว่าไม่หิวเงินมากมาย ไม่อยาก มีอำนาจวาสนาหรือตำแหน่งใหญ่โตใดๆ  และอีกอย่างผมคิดว่า ครอบครัวผมมีฐานะพอใช้ได้มีกินมีใช้ ไม่ลำบากอะไร การทำงานเสียสละเพื่อชนบทก็น่าจะไปไอเดียที่ไม่เลวเพราะทำงานแล้วมีความสุขมาก




หมายเลขบันทึก: 509592เขียนเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2012 07:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 ธันวาคม 2012 22:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท