ภาวะการเจ็บป่วยเป็นธรรมดาของมนุษย์ แต่เมื่อมาเกิดขึ้นกับครอบครัวคนใกล้ชิดของเราทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ แม่มาตรวจที่โรงพยาบาลแก่งคอย เนื่องจาก ๒-๓ วันก่อนมีอาการจุกแน่นใต้ลิ้นปี่ นอนราบไม่ค่อยสบาย ตรวจคลื่นหัวใจผลผิดปกติเล็กน้อย แพทย์สั่งตรวจ Top – T ผลขึ้นสูงกว่าค่าปกติมาก (ระหว่างรอผลตรวจคนไข้ ยังเดินป๋อไปกินข้าวที่หน้าโรงพยาบาล) แพทย์จึง Refer ไปที่โรงพยาบาลสระบุรี
แม่บอกว่า “ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่แม่นอนบนรถ Refer ” ที่ ร.พ.สระบุรี แพทย์ให้นอนโรงพยาบาล ซึ่งลูกๆ ผลัดกันมานอนเฝ้าเป็นเพื่อนและนัดฉีดสีที่หัวใจในวันต่อมา ผลการฉีดสีพบว่ามีเส้นเลือดที่หัวใจตีบ ๓ เส้น ต้องผ่าตัดทำบายพาส แพทย์ให้เลือก ๒ แห่ง ระหว่างโรงพยาบาลธรรมศาสตร์และโรงพยาบาลทรวงอกนนทบุรี ให้ญาติรีบตัดสินใจเนื่องจากเส้นเลือดที่ตีบเป็นส่วนที่ค่อนข้างอันตราย พี่น้องก็ให้ข้าพเจ้าเป็นคนตัดสินใจ ตอนนั้นฉันค่อนข้างเครียดมาก ว่าจะไปที่ไหนดีจึงตัดสินใจไปที่ธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นที่น่าจะนัดทำได้เร็วกว่า แม่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลสระบุรี ๒ สัปดาห์ ประมาณบ่าย ๓ ของวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ น้องโทรศัพท์มาบอกว่าทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ตอบรับมาแล้วให้ส่งตัวคนไข้มาวันนี้เลย แม่ก็เลยต้องไปกับรถ Refer ของสระบุรีอีกครั้ง
ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์แพทย์ตรวจร่างกายและนัดทำบายพาสในวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ คืนก่อนวันผ่าตัดฉันขอเป็นเวรนอนอยู่กับแม่เอง เพื่อที่จะได้พูดคุยกับแม่เพื่อให้แม่คลายความวิตกกังวลลง และดูแลความเรียบร้อยก่อนเข้าห้องผ่าตัด ซึ่งลูกๆ ก็จะผลัดกันมาเยี่ยมและเฝ้าแม่ทุกวัน แม่บอกว่า “ตอนหมอบอกว่าจะผ่าตัดแม่กลัวมาก กลัวว่าเมื่อเข้าห้องผ่าตัดไปแล้วจะไม่ได้กลับออกมาอีก หมอบอกว่าเส้นเลือดตรงที่อุดตันมีความสำคัญมาก ถ้าไม่รีบผ่าอาจจะอยู่ได้ถึงแค่สิ้นปีนี้ หมอมาอธิบายให้ฟังถึงเรื่องการผ่าตัดว่าจะผ่าเข้าไปตรงไหนบ้าง ทำอย่างไร โอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง” ซึ่งเราจะพยายามไม่บอกแม่ให้เกิดความกลัว แม่บอกว่าแม่รู้หมดแล้ว
“แม่ไม่กลัวแล้ว อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด” หมอมาจับมือแม่ทั้ง ๒ ข้าง แล้วถามว่า
“คุณป้า เราต้องช่วยกัน คุณป้าพร้อมที่จะสู้ไปกับผมไหม ”
“สู้ค่ะ ” แม่ตอบเสียงดังฟังชัด ท่าทีของแม่ดูเข้มแข็งกว่าที่เราคิดไว้มาก หมอบอกว่าจะผ่าประมาณ ๐๙.๐๐ น. ถ้าไม่มีคนไข้รีบด่วนก่อน
ฉันเลยมาคิดว่า การให้ข้อมูลรายละเอียดอย่างชัดเจนในการรักษา + การให้กำลังใจจากคนใกล้ชิดและคนรอบข้างมีผลค่อนข้างมาก
เช้ามืดของวันผ่าตัด ฉันได้ให้แม่อธิษฐานกับสิ่งของที่จะนำไปตักบาตร เนื่องจากมีพระมารอให้ญาติและผู้ป่วยมาตักบาตร
๐๗.๔๕ น. พนักงานเวรเปลมารับแม่ ฉันค่อนข้างร้อนใจมากว่าทำไม พี่ๆ น้อง ๆ ยังมาไม่ถึงโรงพยาบาลสักทีจะมาทันแม่เข้าห้องผ่าตัดไหม แม่ก็ถามถึงลูก ๆ ทุกคน ฉันโทรศัพท์ไปหาน้องอยากให้ทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตากันส่งแม่เข้าห้องผ่าตัด น้องบอกว่าใกล้ถึงแล้วรถติดมาก จนกระทั่งพนักงานเวรเปลเข็นรถนอนมาถึงหน้าห้องผ่าตัดพร้อมกับฉันที่เดินตามมาอีกหนึ่งคน ฉันดูจากสีหน้าแม่ก็รู้ว่าแม่อยากเห็นหน้าลูกๆ ก่อนเข้าห้องผ่าตัด มีญาตินั่งรอผู้ป่วยที่หน้าห้องผ่าตัด ๕-๖ คน ฉันไม่อายใครที่จะหอมแม่ที่หน้าผากหนึ่งที แล้วบอกกับแม่ว่า “หนูขอเป็นตัวแทนที่จะหอมแม่แทนลูกๆ ทุกคน แล้วเดี๋ยวเจอกันนะคะแม่ ”
น้องๆ มาถึงหลังจากแม่เข้าห้องผ่าตัดไปประมาณ ๕ นาที พวกเราทุกๆคนนั่งรอแม่ที่หน้าห้องผ่าตัดตั้งแต่ แปดโมงเช้าถึงบ่ายสามโมงครึ่ง โดยผลัดกันไปกินข้าว เนื่องจากกลัวว่าพยาบาลจะเรียกหาญาติไม่เจอคนไข้ที่ผ่าตัดถูกเข็นเข้า - ออกจากห้องผ่าตัดเป็น ๑๐ กว่ารายแล้ว แม่ก็ยังไม่ออกมาเรายังคุยกันว่าแม่คงนอนหลับไม่รู้เรื่องแต่จะรู้บ้างไหมว่าคนที่รออยู่ข่างนอกกระวนกระวายใจแค่ไหน ขอให้แม่ปลอดภัยเท่านั้นเป็นพอ ประมาณ ๑๗.๓๐ น. แม่ถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด พร้อมเครื่องช่วยหายใจและสายต่างๆ ระโยงระยางเต็มไปหมด เพื่อไปอยู่ที่ ไอซียู ต่อแพทย์ที่ผ่าตัดบอกว่าการผ่าตัดค่อนข้างเรียบร้อยดี ๕๐ % เหลืออีก ๕๐ % ต้องดูว่าคนไข้จะฟื้นขึ้นมาหรือเปล่า มีภาวะแทรกซ้อนอะไรหรือไม่ พวกเรารอดูอาการแม่จนถึงเก้าโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น แม่จึงรู้สึกตัวดี แม่นอนอยู่โรงพยาบาล ๒ สัปดาห์จึงได้กลับบ้าน แม่บอกว่า
“แม่ไปเที่ยวโรงพยาบาลมา ๑ เดือน ตอนไปไปดี ๆ ตอนกลับมีแผลผ่าตัดมาด้วย”
ขอให้ท่านหายเป็นปกติในเร็ววันนะคะ
ขอส่งกำลังใจไปช่วยด้วยนะครับ
ส่งกำลังใจ กองโต มาให้ค่ะ หายเร็วๆ นะคะ
กราบขอบพระคุณทุกกำลังใจค่ะ
คุณtuknarak คุณพ.แจ่มจำรัส คุณWasawat Deemarn คุณBright Lily
ตอนนี้คุณแม่แข็งแรงขึ้นมากเลยค่ะ