เรื่องเล่าตระกูลรถทอง


านเส้นทางการเดินทางของกาลเวลา

ภาพเหล่านี้  คือ สิ่งที่เหลืออยู่ของต้นตระกูลรถทอง



ตำราโบราณต้นตระกูลรถทอง  ตั้งแต่ พ.ศ.  2385 - 2555   อายุ  170 ปี

ข้าวสาลีเกิดและเติบโตมาพร้อมกับคลังวิชาความรู้แบบนี้มาตั้งแต่เด์ก

ตำรา  7  พับที่อยู่มาก่อนข้าวสาลี

โดย  รติรัตน์  รถทอง

19  พฤศจิกายน  2555

ตำนานเรื่องบางเรื่องที่เกิดขึ้น

สมัยก่อนข้าวสาลีสงสัยเป็นอย่างมากที่เห็นปู่อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐทั้งที่อายุ  90 ปี  ปู่อายุยืนมาก  ปู่เกต  รถทอง เกิด พ.ศ.  2444  ในสมัยรัฐกาลที่ 5  -  9  ปู่เขียนตำราสมุนไพรลงในสมุดหนังสือทุกวัน  โดยลอกจากตำราของปู่ของปู่ด้วยลายมือภาษาไทยที่ไม่เคยเรียนในโรงเรียน  ปู่อ่านออกเขียนได้จากการเรียนจากวัดและจากพ่อแม่  ที่สืบทอดกันมาเอง  ปู่ชอบเล่าเรื่องต่างๆ ทั้งอดีต  และก่อนอดีตของทุกวัน  ข้าวสาลีอายุ 7 ขวบ  อ่านหนังสือพิมพ์ออกแล้ว  เมื่อปู่อ่าน  ข้าวสาลีจะนอนอีกข้างของปู่และอ่านหนังสือไปด้วยกัน  ปู่จะเล่าว่า

แต่เดิมก่อนที่เราจะมาอยู่ที่คลองหมาหอนนั้นพวกเรามาจากไหน

ก่อนปู่และข้าวสาลีจะเกิดพวกเรามาจากไหน  เกิดที่ไหน  ปู่ว่าต้นตระกูลชื่อ  รด  และทอง  เป็นแพทย์ไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นนายท้ายบ้านที่มีชื่อ  เปรียบกับเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่มีเงินทอง  เป็นเศรษฐี  สามารถเดินทางจากอุทัยธานีมายังเมืองติดชายทะเลเมื่องท่าจีนได้  โดยใช้เรือพายขนาดเล็ก  แต่ก่อนหน้านั้นเกิดสงครามพุ่งรบกับพม่า  พอกรุงแตกครั้งที่  2   ก็เกิดระบาดหนักที่หมู่บ้านสะแกกรัง  วัดเขาสะแกกรัง  ติดแม่น้ำสะแกกรัง  ปู่เล่าเรื่องนี้ตลอดเวลาเหมือนกับต้องการบอกถึงพื้นเพถิ่นกำเนิดเดิมของพวกเรา  "รถทอง"    จนต้องถอยครัวจากหมู่บ้านหนีภัยต่างๆ  ลงมาถึงอ่าวไทย  เข้ามายังคลองหมาหอน  และพ่อปู่ของปู่ได้อธิฐานว่าถ้าสามารถจะอยู่ที่นี่ได้ขอให้เรือไปปักยังริมตะลิ่งภายในคลองหมาหอนแห่งนี้  หลังจากนั้นพวกเราทุกคนก็ได้มาก่อร่างสร้างบ้านเรือนที่ทุ่งบางโคลัด  ต่อมาเรียกเป็นตำบลว่า  ตำบลบางโทรัด  นี่คือเรื่องเล่าของปู่ที่ฟังมาตั้งแต่  7  ขวบ  จนถึงเดี่๋ยวนี้ก็ไม่อาจลืมเลือน

ปู่ของข้าวสาลี  มีอาชีพทำนาเกลือ และเคยค้าเกลือมาก่อน  มีฐานะพอสมควร  มีนาเกลือหลายแทบ  ปู่มีลูกแค่สองคน คือป้ากับพ่อข้าวสาลี  ปู่มีเมียหลายคนหลังจากย่าเสียตอนอายุ  40 ปี  แต่ไม่เคยมีลูก  แต่ปู่เป็นลูกของภรรยาคนแรกของปู่ของข้าวสาลี มีน้องชาย  1  และน้องสาวท้องเดียวกัน 1  คน  มีน้องสาวน้องชายคนละท้องอีก  7  รวมแล้วก็  9  คน  ส่วนพ่อของปู่มีพี่น้องมากกว่า  9  คน  ทวดของข้าวสาลีเป็นลูกชายคนโตสุดของตระกูล

นายอยู่เป็นใคร  นายช่วงเป็นใคร

นานมากแล้วที่ข้าวสาลีเกิดมาพร้อมกับหลายสิ่งในชีวิตที่เลิศหลายอย่างแต่ก็ยังขบคิดฉงนว่าเราเป็นใครมาจากไหนอยู่เสมอ  ก็แค่มนุษย์ธรรมดาที่อยู่ในโลกนี้นั่นเอง  มนุษย์เรามักมีหลายสิ่งหลายอย่างที่มาพร้อมถูกลบเลือนพร้อมกับกาลเวลาที่ไม่เคยรอคอยใคร  

นายอยู่  เกิดเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้  แต่เขียนตำราไว้  7  เล่ม  เมื่อ พ.ศ. 2385  ตรงกับรัชสมัยของรัชกาลที่  3  สมัยก่อนยังไม่มีการใช้นามสกุลใช้  มาใช้นามสกุลในสมัยรัชกาลที่  6  นายชื่อมีต้นตระกูลชื่อ  รด  กับทอง  ตอนอาศัยอยู่ที่สะแกกรังอุทัยธานี  นายอยู่เกิดที่อุทัยธานีอย่างแน่นอน  แต่การย้ายครัวทำให้ต้องย้าวเอาลูกเมียมาหมด  นายอยู่มีลูกถึง  11  คน  ไม่รู้นับครบหรือเปล่า   และมีอาชีพเป็น  แพด  (แพทย์ )  แผนโบราณ  ตำราเหล่านี้ถูกเก็บรักษาอย่างดีจาก  ข้าวสาลีคนนี้ละค่ะ

นายอยู่มีลูกชายคนแรกชื่อ  นายช่วง  เกิดมาพร้อมกับอาีชีพการทำนาเกลือ  และเป็นแพทย์แผนไทย  รักษาโรคเก่งมาก  คนทั้งจังหวัดให้ความนับหน้าถือตา  มีชื่อเสียง  นายช่วงได้ตั้งใช้นามสกุล  "รถทอง"  ตามบรรพบุรุษ  โดยเอาชื่อของทวดกับปู่ของตัวเองมาตั้งเป็นนามสกุล  (ปู่ข้าวสาลีเล่าเท็จจริงอย่างไรก็อยู่กับปู่เอง"   นายช่วงตั้งนามสกุลรถทอง  แต่มีญาตบางสายก็ตั้งนามสกุลอื่น  เช่น  ปิ่นต้นวงค์  ฯลฯ  อีกหลายนามสกุล  ซึ่งน่าจะเป็นคนชื่อปิ่นคือบิดาของนายอยู่  (เดาเอานะค่ะ) ที่เป็นคนพาครัวมาพร้อมลูกชาย  คือ  นายอยู่  แต่นายช่วงกลับตั้งนามสกุลว่า  รถทอง ตามบรรพบุรุษที่อยู่ที่จังหวัดอุทัยธานี  รด กับทอง  เพื่อเป็นอนุสรณ์การจากมาของบรรพบุรุษ

นายอยู่  พิการขาสองข้างอย่างไม่รู้สาเหตุ  ปู่ก็ไม่ได้เล่าอะไร  แค่บอกว่า  สมัยก่อนแกเดินได้แต่บ่อยครั้งที่ต้องไปรักษาผู้คน  มีบ่อยครั้งเหมือนกันที่เจอคนใช้ไสยศาสตร์  เล่นของ  จากหมู่บ้านอื่นๆ  หมอเขมร  น่ากลัวที่สุด  ตอนแก่ก็ยังรับรักษาผู้คนมากมาย  ถ้าใครอยากจะมารับไปรักษาก็ต้องหาคนมาหาบนายไปรักษากันถึงบ้าน  มาโดยทางเรือบ้าง  เวลาที่ท่านว่างก็จะเขียนตำรายาสมุนไพร  ตำราหมอดู  ตำราไสยศาสตร์ ฯลฯ  รวมที่เหลือ  7 เล่มที่ยังเหลืออยู่ 

การเขียนตำรานี้  เป็นเรื่องน่าแปลก

สำหรับข้าวสาลีก็เคยเรียนหนังสือมาและคิดว่า  การใช้กระดาษ  กับปากกาในสมัยรัชกาลที่  3  ก็เป็นเรื่องของชนชั้นสูงแสดงว่านายอยู่ก็เป็นคนที่มีตำแหน่งทีเดียว  การเป็นแพดในสมัยนั้นต้องทันสมัยอย่างมาก  และกระดาษเป็นแผ่นใหญ่นำมาเขียนนี้ไม่ใช่ทำง่ายๆ  กระดาษเหมือนกับสมุดวาดภาพในปัจจุบัน  เขียนด้วยลายมือภาษาไทยอ่านง่ายและมีภาษาขอม  ภาษาสันสกฤตแทรกบ้างบางช่วงของเนื้อหา  ซึ่งน่าจะนำมาจากตำราที่เป็นภาษาอื่นๆ  อย่างแน่นอน  ข้าวสาลียังเด็กมากตอนนั้น  เห็นว่าตำราถูกทาด้วยน้ำยาจากไม้จันทร์หอม  และสีที่ใช้เป็นสีจากเมืองจีนที่ใช้เขียนลาย  ส่วนสีดำน่าจะเป็นปากกาแบบมีไส้  เพราะตัวหนังสือคมชัดทุกเส้น  และถ้าเขียนใน พ.ศ.  2385  แต่ก็ต้องเป็นผู้ที่ร่ำเรียนสูง และมีฐานะมากในสมัยนั้น  ถึงจะมีสิ่งที่ชนชั้นสูงมีกัน   




ภาพนี้อายุกว่า  160  ปี  ยังคงสีสวยและชัดเจน  ครัวยาท่านนี้  คือ ปู่อยู่นั่นเอง  การแต่งกายเป็นแบบโบราณ  

นุ่งผ้าแบบชนชั้นสูงทั่วไปในสมัยรัชกาลที่  3  และนั่งตำยาอย่างปราณีตด้วยสีหน้าที่จริงจัง


สัญนิษฐานว่า  หลังจากปู่อยู่มาอยู่สมุทรสาคร  ก็ติดต่อกับพ่อค้าชาวจีนบ้าง  เพื่อซื้อหาสินค้า  การเดินทางไปยังท่าจีนกับ  บ้านบางโทรัดก็ไม่ไกลนัก พายเรืองครึ่งวันก็ถึงท่าจีน  มีการขนส่งสินค้ากระดาษ  ปากกา  สี  เบญจรงค์กันมากในสมัยนั้น  เพราะเห็นเครื่องถ้วยชามแตกกระจัดกระจายที่บ้านข้าวสาลีมากมาย  เก็บได้ของโบราณอายุมากกว่า  1,000 ปี  หลายชิ้น  ข้าวสาลีก็เก็บรักษาไว้  เครื่องเคลือบ  เป็นแจกันก็หลายชิ้น  ซึ่งนับมูลค่าไม่ได้  ข้าวสาลีเป็นคนชอบของเก่าๆ  เพราะการบอกถึงยุคสมัยเป็นเรื่องสนุกสนาน  แค่เดาก็สนุกแล้ว  เครื่องลายคราม  ข้าวสาลีก็มี 2 ชิ้นซึ่งเก่าแก่มาก  ก็ถือว่าเป็นของหายากที่มี  ถึงจะน้อยชิ้นแต่ทรงคุณค่ามาก


ภาษาไทยชัดเจน  หนา  (หน้า)  เทิด  (เถิด)  พ่อ  มอ (หมอ)  แพด  (แพทย์ ) คำเหล่านี้เป็นภาษาไทยในยุครัชกาลที่ 3  ที่ข้าวสาลีคิดว่าเป็นคุณค่าชนิดหาไม่ได้อีกแล้วในยุคนี้  




แพด (แพทย์)  มานะ  เขียน  เพียน  (เพียร)  ทำนะการ  (ธรรรมการ )  น่าจะเป็นตำแหน่ง  "แพทย์เพียรธรรมการ"  นายอยู่น่าจะมีศักดิ์ตำแหน่ง  เป็น  "แพทย์เพียรธรรมการ"  นี่คือการทอดความของข้าวสาลีจากบันทัดสุดท้ายของนายอยู่  ที่พอจะถอดออกมาได้เช่นนี้  กาลเวลาไม่เคยบอกอะไรข้าวสาลี  การเรียนก็ไม่เคยบอกอะไรข้าวสาลี  นอกจากรู้ว่านายอยู่  คือ  แพทย์เพียรธรรมการ  ที่มีชื่อเสียงพอสมควร

เนื้อของแผ่นกระดาษมี  2  หน้า   มีหน้าปก  มีการลงลักสีดำ  มีครั่งโบราณสีแดง   การเขียนมีทั้งหมึกหนักเบา  แสดงถึงการเขียนใช้เวลาหลายวัน  หลายเดือน  หลายปี  และนอกจากนั้นก็ยังมีสิ่งต่างๆ  บ่งบอกถึงใจความโบราณอีกมากที่อ่านยากในหลายตัวหนังสือภาษาไทยนั้น  มีภาษาอื่นแทรกในตัวหนังสือ  สมัยก่อนข้าวสาลีเคยได้ยินว่าพระจะเขียนด้วยใบลาน  แต่นายอยู่เขียนด้วยปากกาและสีอย่างทันสมัย


  


ภาษาที่ลงเป็นอักขระโบราณทางไสยศาสตร์  ภาษาเขมร



เทวดาที่เหมือนกับนักวิ่ง  ได้จากเล่มที่เกี่ยวกับตำราหมอดู

มีคาหลายบทที่เกี่ยวข้องกับการอัญเชิญ เทวดา  อัญเชิญ ผี ปีศาจ  มากมายหลาย  แต่ละบทอ่านไม่ออกทั้งนั้น และถ้าอ่านออกสงสัยว่าข้าวสาลีคงเป็นแม่หมอเสียแล้ว  แต่สิ่งที่ข้าวสาลีเก็บ  ก็คือความภูมิใจในอดีตที่มีต้นตระกูลเก่งๆ ต่างหาก  และข้าวสาลีก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากยาไทย  โบราณเหล่านี้  การดูคน  การใช้ตำราก็มีทั้งคุณและโทษก็ต้องระมัดระวังอย่างมาก  เพราะความรู้นั่นเอง

โอม  สิทธิการะยะ  นี่คือประโยคแรกของการบริกรรมคาถา  ซึ่งข้าวสาลีก็ได้รับการสืบทายาทมาตั้งแต่อายุ  14 ปีจากปู่ของข้าวสาลีมาว่าสามารถใช้ตำราเหล่านี้ได้  และในบรรดาพี่น้องทุกคนก็สามารถใช้ตำรับตำราเหล่านี้ได้เกือบทุกคนแต่คนที่เข้าใจมีเพียงไม่กี่คน    เพราะนายอยู่เองเขียนตำราเล่มนี้ด้วยเลือด   และบางสิ่งบางอย่างที่คนพิการคนหนึ่งเขียนอย่างอดทน  ด้วยความคิด  ถึงความรู้สึก  ด้วยสำนึกเหล่าอย่าง  ด้วยควางหวงในวิชาของนายอยู่  และห่วงชนิดเหมือนงูจงอางห่วงไข่  เพราะมีบางเล่มมีการจารและเขียนไว้ว่า  ใครหยิบไปอ่านให้เอามาคืนด้วย  เพราะเจ้าของเขาหวง  




ตำราการจับคู่  นาคสี่ทิศ  เป็นหนึ่งในตำราหมอดูซึ่งการเขียนมีตัวเลขไทยประกอบ

มีทิศต่างๆ  เหมือนกับการจับยามเวลาเดินทางไปในทิศทางไหน  การรบการไปไหนก็ต้องดูทิศ



ส่วนหนึ่งของภาษาในเล่ม  กมิ่นออย  (ขมิ้นอ้อย)  มาดเลิ่อง  (มาดเรือง)  ภาษาทางยาสมุนไพรก็ต้องค้นคว้าให้ดีเพราะถ้าให้สัดส่วนยาผิดไปก็เป็นโทษกับผู้ใช้  ปู่ของข้าวสาลีจึงนำมามิกเขียนใหม่  โดยใช้ภาษาไทยปัจจุบันเขียนและทดลองยาด้วยตัวเอง  ปู่ของข้าวสาลีมีอายุืยืนถึง  94 ปี ถึงเสียชีวิตมีหลายอย่างที่ข้าวสาลียังเด็ก  โดยไม่ทันถามปู่ไว้ถึงชื่อของญาตที่อุทัยธานี  ก็เลยไม่ได้ติดต่อไปถามถึงคนทางโน้นและขาดกันโดยปริยาย  อัตราการชั่งของน้ำหนักยา  สลึ่ง  บาท  เฟื้อง  ต้องแม่นยำ  เพราะอัตราส่วนจะทำให้โรคหาย  หรือ หายโรค  ก็ไม่รู้

  

แก้ริดดวงตมูก  (แำก้โรคริดสีดวงจมูก)  เอาลูกจัน  1  บาท  ฝิ่น  1 สิ่ง  ( ยาพวกนี้เข้ายาเสพติดก็มี )  น่าจะเป็นการแก้โรคมะเร็งในรูจมูก  หรือยานัตถุ์สำหรับพวกหอบหืดก็ต้องค้นคว้าและทำการสังขยานาม  กับผู้รู้ในประเทศของเราที่ยังทำเรื่องของยาแผนโบราณ

นายอยู่  เป็นบิดานายช่วง

นายอยู่มีลูกสาวลูกชายถึง  11  คน  เท่าที่ข้าวสาลีจดจำได้ตอนปู่ก็ท่องได้แค่นี้

1) นายช่วง   บิดาของปู่ข้าวสาลี

2) นายเช้า

3) นายบ่าย

4) นายเพล

5) อำแดงยาว

6) อำแดงสั้น

ฯลฯ

11) อำแดงเลียบ รถทอง  บุตรสาวคนสุดท้าย ของนายอยู่ที่แต่งงานเป็นภรรยาท่านพ่อบันฑูรสิงห์  นายเจิม  คุณาบุตร

นายอยู่จึงมีศักดิ์เป็นพ่อตาของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์  บรมครูวิปัสนาชื่อดังของสมุทรสาคร  



หมายเลขบันทึก: 509216เขียนเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2012 11:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม 2012 09:58 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เก็บความคิดสกปรกไว้ในใจดีกว่า อย่านำมาใช้ผิดที่ผิดทางเลยค่ะ

จะบาปกรรมเปล่า ถือว่าไม่เคยได้ยินอะไรแปลกๆ ในนี้นะคะ


ผมผึ้งรู้ว่ากระกูลผม ก็มีด้วย หรอ น่าภูมิใจมากก เลย


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท