ปล้น...กลางมหาวิทยาลัย 1
ท่านผู้อ่านอย่าพึ่งตกใจกับชื่อเรื่องข้างต้น ว่ามีการปล้นกันจริงๆกลางมหาวิทยาลัย แล้วมันเป็นเรื่องที่เกิดกับมหาวิทยาลัยใด จริงๆแล้วมันเป็นการเปรียบเปรยของผู้เขียนเท่านั้นเอง ท่านผู้อ่านส่วนใหญ่หรือเกือบทุกท่านคงทราบดีแล้วว่า รัฐบาลโดยสำนักงบประมาณได้มีการจัดสรรงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายภาคบุคลากร(เงินเดือน)สำหรับการบรรจุอัตราพนักงานมหาวิทยาลัยของสถาบันอุดมศึกษาต่างๆของรัฐ ทดแทนการบรรจุอัตราข้าราชการ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติไม่ให้เพิ่มอัตราใหม่ที่เป็นอัตราข้าราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2541 เป็นต้นมา
โดยสำนักงบประมาณ จะจัดสรรงบประมาณให้มหาวิทยาลัย/สถาบันอุดมศึกษา ในการบรรจุอัตราใหม่ที่เป็นตำแหน่งสายวิชาการในอัตรา 1.7เท่า(แรกบรรจุ)ของอัตราข้าราชการ และ
จัดสรรงบประมาณให้มหาวิทยาลัย/สถาบันอุดมศึกษา ในการบรรจุอัตราใหม่ที่เป็นตำแหน่งสายสนับสนุนในอัตรา 1.5เท่า(แรกบรรจุ)ของอัตราข้าราชการ สมมุติว่า มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งในปีงบประมาณ 2554 ได้รับการจัดสรรให้บรรจุอัตราใหม่จำนวน 100 อัตรา เป็นสายวิชาการคุณวุฒิปริญญาเอก 40 อัตรา ปริญญาโท 40 อัตรา และเป็นสายสนับสนุนคุณวุฒิปริญญาโท 10 อัตรา ปริญญาตรี 10 อัตรา สำนักงบประมาณจะจัดสรรงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนให้กับมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ในการบรรจุอัตราดังกล่าว ในหมวดเงินอุดหนุนเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 21,788,160 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ตารางที่ 1 แสดงรายละเอียดการคำนวณงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากสำนักงบ
ประมาณ
คุณวุฒิ |
อัตราพนักงาน ที่ได้รับจัดสรร |
อัตราแรกบรรจุ ข้าราชการ |
งบประมาณ ที่ได้รับจัดสรร(ทั้งปี) |
||
วิชาการ |
สนับสนุน |
วิชาการ |
สนับสนุน |
||
ปริญญาตรี |
- |
10 |
7,940 |
- |
1,429,200 |
ปริญญาโท |
40 |
10 |
9,700 |
7,915,200 |
1,746,000 |
ปริญญาเอก |
40 |
- |
13,110 |
10,697,760 |
- |
รวม |
80 |
20 |
|
18,612,960 |
3,175,200 |
รวมทั้งสิ้น |
21,788,160 |
มหาวิทยาลัยก็นำเงินงบประมาณที่ได้มา 21,788,160 บาท ไปบริหารและจัดการอัตรา
กำลังและงบประมาณของอัตราใหม่ที่ได้รับมาจากสำนักงบประมาณ การที่สำนักงบประมาณจัด
สรรเงินงบประมาณให้กับสายวิชาการ(1.7เท่าของอัตราแรกบรรจุ)สูงกว่าสายสนับสนุน(1.5 เท่า
ของอัตราแรกบรรจุ) ด้วยเหตุผลที่ว่าสายวิชาการเป็น “บุคลากรสายหลัก” ส่วนสายสนับสนุนเป็นเพียง“บุคลากรสายรอง” ในการขับเคลื่อนภารกิจของมหาวิทยาลัย ซึ่งงบประมาณที่จัดสรรให้มากกว่าการบรรจุเป็น “ข้าราชการ” ของสายวิชาการและสายสนับสนุนจำนวน 1.7 เท่า และ 1.5 เท่าตามลำดับนี้ รวมสวัสดิการต่างๆที่ข้าราชการได้รับ แต่พนักงานมหาวิทยาลัยไม่ได้รับเข้าไปด้วยแล้ว เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร ค่าเช่าบ้าน ฯลฯ
ด้วยเหตุที่พนักงานมหาวิทยาลัยไม่มีสวัสดิการต่างๆที่ข้าราชการได้รับ มหาวิทยาลัยต่างๆ จึงหาวิธีการบริหารงบประมาณก้อนนี้ให้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ ในการบำรุงรักษาบุคลากรใหม่ที่เป็นอัตราพนักงานมหาวิทยาลัยให้อยู่กับมหาวิทยาลัยไปนานๆ ดังนั้น....มหาวิทยาลัยต่างๆ เมื่อได้รับงบประมาณส่วนนี้มาแล้วก็มาออกเป็นระเบียบ หรือเป็นประกาศ หรือ เป็นมติที่ประชุมกรรมการบริหาร ฯลฯ ในการบริหารและจัดการอัตรากำลังและงบประมาณตามที่มหาวิทยาลัยได้รับมา โดยการกำหนดอัตราแรกบรรจุพนักงานมหาวิทยาลัยทั้งสายวิชา
การและสายสนับสนุนไม่ให้สูงกว่ากรอบวงเงินที่สำนักงบประมาณจัดสรรให้มาในจำนวน1.7 เท่า
และ 1.5 เท่าตามลำดับ ตัวอย่างเช่น ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น และ มหาวิทยาลัยสงลานครินทร์ ดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2 แสดงอัตราแรกบรรจุพนักงานมหาวิทยาลัยขอนแก่น และ มหาวิทยาลัย
สงขลานครินทร์ จำแนกตามคุณวุฒิและประเภท
คุณวุฒิ |
อัตราแรกบรรจุ พนักงาน(บาท) |
อัตราแรกบรรจุ ข้าราชการ |
จำนวนเท่า |
||
วิชาการ |
สนับสนุน |
วิชาการ |
สนับสนุน |
||
มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
|
||||
ปริญญาตรี |
11,910 |
11,120 |
7,940 |
1.50 |
1.40 |
ปริญญาโท |
14,550 |
13,580 |
9,700 |
1.50 |
1.40 |
ปริญญาเอก |
19,660 |
18,360 |
13,110 |
1.50 |
1.40 |
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ |
|
||||
ปริญญาตรี |
11,910 |
10,320 |
7,940 |
1.50 |
1.30 |
ปริญญาโท |
14,550 |
12,610 |
9,700 |
1.50 |
1.30 |
ปริญญาเอก |
19,670 |
17,040 |
13,110 |
1.50 |
1.30 |
จากตารางข้างต้น.........จะเห็นได้ว่าทั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยสงขลา
นครินทร์ อัตราแรกบรรจุ(ไม่รวมค่าประสบการณ์)ของพนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการ เป็น 1.5 เท่า ทั้งสองมหาวิทยาลัย ส่วนสายสนับสนุนเป็น 1.4 เท่า และ 1.3 เท่า ตามลำดับโดยมหาวิทยาลัยเก็บเม็ดเงินส่วนต่างของวิชาการและสายสนับสนุนไว้ ทั้งนี้เพื่อมหาวิทยาลัยจะได้นำไปบริหารจัดการเป็นกองทุนต่างๆให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยในเรื่องของสวัสดิการต่างๆ ที่ข้าราชการได้รับ แต่พนักงานมหาวิทยาลัยไม่ได้รับ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร ค่าเช่าบ้าน ฯลฯ รวมไปถึงเก็บไว้จ่ายเป็นเงินค่าโบนัสที่ข้าราชการได้ แต่พนักงานมหาวิทยาลัยไม่ได้ ตลอดจนเมื่อข้าราชการมีการปรับเพิ่มบัญชีเงินเดือนเพิ่มขึ้น เช่น ในวันที่ 1 เมษายน 2554 ข้าราชการได้รับการปรับเพิ่มเงินเดือนอีกร้อยละ 5 แต่สำนักงบประมาณก็มิได้จัดสรรงบประมาณทั้งสองส่วนนี้(เงินโบนัสและการปรับเพิ่ม 5%)ให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยแต่ประการใด มหาวิทยาลัยต่างๆส่วนใหญ่ จึงกำหนอัตราแรกบรรจุพนักงานมหาวิทยาลัยทั้งสายวิชาการและสายสนับสนุนไม่สูงไปกว่า 1.7 เท่าและ 1.5 เท่า ตามลำดับ ซึ่งหลักเกณฑ์ตรงนี้แต่ละมหาวิทยาลัยกำหนดไม่เหมือนกัน แต่โดยภาพรวมแล้วใกล้เคียงกันเช่นกรณีของมหาวิทยาลัยขอนแก่นและมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ข้างต้น
เพื่อเป็นการจูงใจและรักษาบุคลากรมหาวิทยาลัยที่เป็นอัตราพนักงานมหาวิทยาลัย โดย
เฉพาะสายวิชาการเป็นบุคลากรสายหลัก จึงมีบางมหาวิทยาลัยที่กำหนอัตราแรกบรรจุพนักงานมหาวิทยาลัยให้สายวิชาการสูงกว่า 1.7 เท่า ซึ่งมีวิธีการบริหารจัดการอยู่ 3-4 วิธีหรือมากกว่านั้น คือ...
วิธีที่หนึ่ง
มหาวิทยาลัยใช้เงินนอกงบประมาณเข้าสมทบให้กับสายวิชาการโดยให้ สูงกว่า 1.7 เท่าอาจเป็น 1.8 -1.9 เท่า ในขณะที่ให้สายสนับสนุนให้ ต่ำกว่า 1.5 เท่า (เพราะไม่ใช้สายงานหลัก) เงินที่เหลือของสายสนับสนุนอยู่ระหว่าง 0.1 – 0.3 เท่า ตั้งเป็นกองทุนสวัสดิการ และอื่นๆ ให้กับสายสนับสนุน
วิธีที่สอง
มหาวิทยาลัยบรรจุอัตราในสายวิชาการในจำนนวนที่น้อยกว่าจำนวนที่สำนักงบประมาณจัดสรรมาให้ สมมุติว่าสำนักงบประมาณจัดสรรสายวิชาการมาให้ 10 อัตรา แต่มหาวิทยาลัยบรรจุเพียง 8 อัตรา เงินงบประมาณที่ไม่บรรจุ 2 อัตรานี้นำไปเพิ่มการบรรจุสายวิชาการ 8 อัตราให้ สูงกว่า 1.7 เท่า อาจเป็น 1.8 -1.9 เท่า ในขณะที่ให้สายสนับสนุน ต่ำกว่า 1.5 เท่า (เพราะไม่ใช้สายงานหลัก)อาจเป็น 1.2 -1.4 เท่า เงินที่เหลือของสายสนับสนุนอยู่ระหว่าง 0.1 - 0.3 เท่า ตั้งเป็นกองทุนสวัสดิการ และอื่นๆ ให้กับสายสนับสนุน
วิธีที่สาม
มหาวิทยาลัยบรรจุอัตราในสายวิชาการและสายสนับสนุนในจำนนวนที่น้อยกว่าจำนวนที่สำนักงบประมาณจัดสรรมาให้ สมมุติว่าสำนักงบประมาณจัดสรรสายวิชาการมาให้ 15 อัตรา แต่มหาวิทยาลัยบรรจุเพียง 12 อัตราและ และจัดสรรสายสนับสนุนมาให้10 อัตรา แต่มหาวิทยาลัยบรรจุเพียง 7 อัตรา เงินงบประมาณที่เหลือจากการบรรจุน้อยกว่าทั้งสายวิชาการและสายสนับสนุน นำไปไปบรรจุสายวิชาการ 12 อัตราโดยให้ สูงกว่า 1.7 เท่า อาจเป็น 1.8 -1.9 เท่า ในขณะที่ให้สายสนับสนุน ต่ำกว่า 1.5 เท่า (เพราะไม่ใช้สายงานหลัก) อาจเป็น 1.2 -1.4 เท่า เงินที่เหลือของสายสนับสนุน 0.1 - 0.3 เท่า ตั้งเป็นกองทุนสวัสดิการ และอื่นๆ ให้กับสายสนับสนุน
วิธีที่สี่
มหาวิทยาลัยบรรจุอัตราในสายวิชาการและสายสนับสนุนในจำนนวนที่เท่ากับ จำนวนที่สำนักงบประมาณจัดสรรมาให้ โดยนำเงินงบประมาณของสายวิชาการมารวมกับเงินงบประมาณของสายสนับสนุนเป็นเงินก้อนเดียว(โดยหลักการสามารถทำได้อยู่แล้ว) จากนั้นบรรจุให้สายวิชาการ สูงกว่า 1.7 เท่า อาจเป็น 1.8 -1.9 เท่า ในขณะที่ให้สายสนับสนุน ต่ำกว่า 1.5 เท่า (เพราะไม่ใช้สายงานหลัก) อาจเป็น 1.2 -1.4 เท่า
เนื่องจากวิธีการบริหารจัดการงบประมาณตามข้างต้นนี้ของมหาวิทยาลัยต่างๆไม่ได้มีการเผยแพร่ไปสู่สาธารณะ จึงไม่ทราบว่ามหาวิทยาลัยใดเลือกแบบที่ หนึ่ง-สอง-สาม หรือ สี่ แต่ถ้ามีมหาวิทยาลัยใดเลือกวิธีการบริหารจัดการวิธีที่สาม หรือ วิธีที่สี่ ผู้เขียนเห็นว่าเป็นการปล้นกันจะๆ กลางมหาวิทยาลัยครับ
ในความเห็นของผู้เขียน ในเมื่อสำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณก้อนนี้เป็นแบบ “เงินอุดหนุนทั่วไป” ทำให้มหาวิทยาลัยมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการงบประมาณก้อนนี้ เช่น สามารถบรรจุอัตราจำนวนน้อยกว่าจำนวนที่ได้รับจัดสรรมา แล้วจะนำเงินส่วนที่ไม่ได้บรรจุไปเพิ่มอัตราแรกบรรจุให้สูงกว่าที่สำนักงบประมาณให้มา(1.7 เท่า หรือ 1.5 เท่า) นอกจากนี้ยังสามารถนำเงินส่วนที่เหลือนี้ไปตั้งเป็นกองทุนสวัสดิการอื่นๆ ได้อีก
ผู้เขียนเห็นว่าในการที่จะรักษาทรัพยากรบุคคลที่ได้มาให้อยู่กับมหาวิทยาลัยนานๆ นอก
จากจะเพิ่มที่สวัสดิการแล้ว อัตราค่าจ้างแรกบรรจุ(เงินเดือน)ด้วยวุฒิการศึกษาเท่ากันในแต่ละตำแหน่งแม้จะเป็นสายวิชาการด้วยกันไม่ควรที่จะให้เท่ากัน ซึ่งในระบบเอกชนเขาทำกันมานานแล้ว เช่น ตำแหน่งแรกบรรจุวุฒิปริญญาเอกของอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ ไม่ควรเท่ากับตำแหน่งแรกบรรจุวุฒิปริญญาเอกของอาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ เช่นสมมุติว่าคณะวิศวกรรม
ศาสตร์ให้เป็น 1.8 เท่า หรือ 1.9 เท่า(สูงกว่าที่ได้รับจัดสรรมา 1.7 เท่า) แล้วให้ไปลดคณะอื่นๆ
(ไม่จำเป็นต้องเป็นคณะศึกษาศาสตร์)ให้เป็น 1.5 เท่า หรือ 1.6 (น้อยกว่าที่ได้รับจัดสรรมา 1.7 เท่า) เป็นต้น การเกลี่ยโดยวิธีนี้ต้องใช้วงเงินงบประมาณของสายวิชาการที่ได้รับมาเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการเพิ่มที่สายวิชาการ แล้วไปลดเฉพาะที่สายสนับสนุน
ในทำนองเดียวกัน ในสายสนับสนุนก็เช่นเดียวกัน ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับการที่จะบรรจุตำแหน่งวิศวกรไฟฟ้าด้วยวุฒิปริญญาตรี โดยมีอัตราค่าจ้างแรกบรรจุ(เงินเดือน)เท่ากับตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไปที่มีวุฒิปริญญาตรี มหาวิทยาลัยอาจหาวิธีจูงใจในการบรรจุตำแหน่งสายสนับสนุนที่เป็นที่ต้องการเอกชน หรือตลาดแรงงานสูงๆ เช่น เป็นสาขาที่เรียนยาก สำเร็จการศึกษายาก มีคนจบน้อย เพื่อให้ได้บุคคลดังกล่าวเข้าสู่มหาวิทยาลัย อัตราแรกบรรจุ(เงินเดือน)ของพนักงานมหาวิทยาลัยในตำแหน่งดังกล่าวควรใกล้เคียงกับเอกชน โดยอาจให้สูงกว่า 1.5 เท่าที่สำนักงบประมาณให้มา แล้วไปลดอัตราแรกบรรจุ(เงินเดือน)ในตำแหน่งสายงานที่มีผู้เรียนมากๆ มีผู้สำเร็จการศึกษาเยอะ ประกาศรับ 1 อัตรา แต่มีผู้มาสมัครเป็นร้อยเป็นพันให้เลือกเพียงหนึ่งอัตรา อาจจะกำหนดให้เหลือเป็น 1.1 เท่า หรือ 1.2 เท่า แต่ต้องไม่น้อยไปกว่าอัตราแรกบรรจุของตำแหน่งข้าราชการ ที่ ก.พ. กำหนดเป็น ปริญญาตรี 7,940 บาท ปริญญาโท 9,700 บาท หรือ ปริญญาเอก 13,110 บาท เป็นต้น
********************************************************* |
อืม...น่าสนใจ