บันทึกนี้มีเรื่องเล่าต่อจากตอนที่แล้วคือว่าเขาคนนั้นเริ่มโครงการปลดปล่อยชนชั้นวรรณะศูทรให้หลุดพ้นไปจากวงจรของศาสนาที่กำหนดชะตาชีวิตเป็นวรรณะศูทรจนชีวิตจะหาไม่ และที่นั้นเป็นสัญลักษณ์รอดพ้นจากความเป็นศูทรและเป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์เขามาทุกวันนี้
เขาทำเพื่อชั้นชั้นต่ำคนยากคนจนคนวรรณะศูทรโดยไม่เห็นแก่ตัว
ต่อมาทางรัฐบาลได้ยกย่องเขาให้เป็นศาสตราจารย์สอนหลายวิชา
เขาทำงานด้วยความซื่อสัตย์จริงใจบวกกับความเสียสละ เขาตระหนักรู้ว่าคนทุกคนต่างเป็นญาติธรรมทั้งนั้น
จากคนไร้สิทธิ์กลับกลายมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เขาเป็นรัฐมนตรี เขาเป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้สิทธิแก่คนทุกคนในประเทศอินเดียโดยให้สิทธิแก่ทุกคนเสมอภาคกัน
เขามาจากคนไม่ได้รับความยุติธรรมแต่เขามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนแรกของอินเดีย
เขาเองเป็นผู้จุดประกายให้ผู้คนหันกลับมานับถือพระพุทธศาสนาอีกครั้งหลังจากเงียบหายไปนานราว 1,500 ปีถือว่าเขาคือต้นรากแห่งการรื้อฟื้นคืนชีพให้แด่พระพุทธศาสนาในอินเดียจนทำให้พุทธภูมิเดิมกลับมามีแสงสว่างแห่งพุทธธรรมกันอีกครั้ง
เมื่อ พ. ศ. 2500 เขาเป็นผู้นำชนชั้นศูทรและผู้ต้องการเปลี่ยนศาสนาเดิมหันมานับถือพระพุทธศาสนาเรียกกลุ่มตนเองว่า Neo Buddhist ( กลุ่มชาวพุทธใหม่ ) โดยมีศูนย์กลางอยู่เมืองนาคปูร์ ซึ่งเป็นเมืองของชนเผ่านาคมาตั้งหลักแหล่งอยู่ เราคงได้ยินว่าเวลาผู้จะบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนานั้นต้องมาเป็นนาค ก็คำว่านาคนี้ได้มาจากชนเผ่านี้ละ
เขาว่าคำสอนของพระพุทธศาสนานั้นทำให้สังคมน่าอยู่ ด้วยพระพุทธเจ้านั้นทรงสอนพระธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมวลมนุษย์โลก คือพระพุทธศาสนาไม่สอนยกตนข่มคนอื่น พระพุทธศาสนาไม่สอนให้ดูถูกตนว่าเลวกว่าคนอื่น พระพุทธศาสนาสอนแต่ว่าให้ทุกคนมีความพยายามชอบประกอบ
ไปด้วยธรรมแล้วย่อมพบความสำเร็จ ด้วยศาสนาของพระพุทธเจ้ายกฐานะมนุษย์เท่าเทียมกัน เปรียบเหมือนแม่น้ำสายต่างไหลมารวมลงในทะเลก็ละทิ้งชื่อเดิมของตน กลายเป็นน้ำทะเลมีรสเดียวคือรสเค็มเหมือนกันหมด
พระพุทธศาสนาสอนว่า คนเราไม่ใช่ดีเพราะโคตร ไม่ใช่ดีเพราะตระกูล ไม่ใช่ดีเพราะมีทรัพย์ แต่จะดีหรือชั่วอยู่ที่การกระทำของบุคคลนั้น และเขากระทำพิธีแสดงตนเป็นชาวพุทธคราวฉลองพุทธชะยันตี 25 พุทธศตวรรษ โดยประกาศตนเป็นชาวพุทธราว 5 แสนคนช่วงนั้น เมื่อ 14 ตุลาคม 2449 ( พรุ่งนี้จะครบรอบวงกลมแห่งการประกาศตนของเขาแล้วอีกครั้งแล้ว ) ทำให้เกิดกระแสการหันมานับถือพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่องโดยมี 2 กลุ่มคือ กลุ่มนักปราชญ์และกลุ่มชนชั้นวรรณะศูทรนั้น และเขากลายเป็นบิดาแห่งรัฐธรรมนูญของประเทศอินเดีย ในกาลต่อมาเขาได้ลาลับโลกไปเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2499
ในท้ายที่สุดเขาคนนี้ คือ ดร. อัมเบดการ์ นั้นแล.
........................................................
หมายเหตุ : เรื่องเล่านี้ได้เก็บมุมคิดมาจากหนังสือชื่อ ผู้นำทางการเมืองและพระพุทธศาสนาใหม่แห่งอินเดีย : Dr. Ambedkar ดร. อัมเบดการ์ โดย ณรงค์ โพธิ์พฤกษานันท์ ขอขอบพระคุณเจ้าของผลงานนี้ที่ทำให้ได้เห็นอีกมุมมองหนึ่งเกี่ยวกับ ภิมเรา รามจี อัมเบดการ์ ผู้มีคติสอนตนว่า...แพะเท่านั้น ที่เขานำมาใช้เป็นเครื่องบูชายัญ ไม่มีใครที่ไหนจะกล้าจับพญาราชสีห์มาบูชายัญ..น. 6
“”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
อ.umi คะ ตอนนี้มีฟังก์ชั่นให้เราใส่บันทึกที่เกี่ยวข้องได้ด้วยนะคะ เป็นช่องต่อจากช่อง"เนื้อหา"ที่เราเขียนบันทึกและช่องแสดงไฟล์ต่าง อาจารย์เอาเลขที่บันทึกนี้ (505543) ไปใส่ไว้ในบันทึกแรกเพื่อให้คนอ่านคลิกไปอ่านได้ง่ายๆได้นะคะ ส่วนบันทึกนั้นก็เอาเลขที่ (505506) มาใส่ไว้ที่บันทึกนี้ได้ค่ะ
สวัสดีครับ ท่าน ดร.โอ๋-อโณ
ดีมากครับ เป็นประโยชน์ต่อการบันทึก ขอพระคุณมากครับที่แนะนำ
ผมเองก็เรียนรู้ไป เรี่อย ๆ เพราะวิชาคอม ฯ นี้ ผมไม่ค่อยถนัด ยังไม่เข้าใจหลายเรื่องทีเดียวละครับผม
เดี๋ยวว่าง ๆ จะทำตามคำแนะนำนะครับผม
ด้วยความปรารถนาดี
จาก...ยูมิ