เชื่อว่าหัวอกของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ไม่ต้องการให้ลูกของตนเองเป็นพวกขี้ยาอย่างแน่นอน และหากลูกตัวเองได้เข้าไปอยู่ในวังวนยาเสพติดแล้วก็จะทำทุกหนทางที่จะดึงลูกออกมาดังเช่นชีวิตของ นายกรกต เด็กหนุ่มวัย 21 ปี ถูกจับดำเนินคดีในความผิดฐาน เสพและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และศาลมีคำสั่งให้คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 ภายหลังที่พนักงานคุมประพฤติได้ตรวจพิสูจน์
ต่อมาเมื่อคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด มีคำวินิจฉัยว่า นายกรกต ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์เป็นผู้ติดยาเสพติดให้โทษประเภทยาบ้า จะต้องเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดแบบควบคุมตัวไม่เข้มงวดที่ศูนย์บำบัดรักษายาเสพติดสงขลาเป็นเวลา 120 วัน และหลังจากเข้ารับการฟื้นฟูแล้วจะเข้าไปสู่โปรแกรมกลับสู่สังคมเป็นเวลา 10 ชั่วโมง ตลอดจนห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกชนิด นอกจากนี้นายกรกตยังได้เข้ารับการฝึกอาชีพโดยนายกรกตได้เลือกที่จะฝึกซ่อมรถจักรยานยนต์
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่าเป็นความผิดและโทษที่นายกรกตจะต้องได้รับ และเพราะเหตุใดนายกรกตจึงได้เข้าไปอยู่ในวังวนยาเสพติด นายกรกตได้เล่าถึงเรื่องราวชีวิตว่า "ผมเป็นคนสงขลา บิดารับราชการตำรวจ ส่วนมารดาเป็นแม่บ้าน มีพี่สาว 1 คน ฐานะทางบ้านพอมีพอใช้
ผมได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษเมทแอมเฟตามีน เมื่ออายุประมาณ 15 ปี ซึ่งตอนนั้นผมศึกษาอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ได้ทดลองเสพซึ่งเพื่อนชักชวนและต้องการทดลองเสพอยู่แล้ว โดยวิธีการเผาไฟสุมควันผ่านน้ำ ในปริมาณครึ่งเม็ดต่อครั้ง เสพกับเพื่อนที่เรียนด้วยกัน โดยใช้ดาดฟ้าหอประชุมเป็นสถานที่เสพเวลาพักเที่ยง
จากนั้นผมก็เสพมากขึ้นในเวลาเช้าก่อนไปโรงเรียนและพอกลับมาจากเรียนก็จะเสพที่ห้องนอน โดยจะหาซื้อมาจากเพื่อนในราคาเม็ดละ 100 บาท ครั้งละ 1 เม็ด แต่ไม่เคยรับจ้างซื้อหรือจำหน่าย ซึ่งจะแบ่งเงินที่บิดามารดาให้ใช้จ่ายในแต่ละวันไว้ซื้อยาอยู่ประมาณ 3 เดือน บิดามารดาเริ่มสงสัยว่าผมที่พฤติกรรมเปลี่ยนไป อาการหงุดหงิด ก้าวร้าว โต้เถียงบิดามารดา ผลการเรียนตกต่ำ บิดาได้เข้าไปภายในห้องนอนและค้นพบอุปกรณ์การเสพ ซึ่งผมจะซ่อนไว้ใต้เพดานหลังคา หลังจากนั้นบิดาก็ใส่กุญแจมือผมเพื่อพาไปส่งตำรวจ ผมใช้ไม้เขี่ยหูไขกุญแจมืออกและหนีออกไปอาศัยอยู่กับเพื่อน ประมาณ 6 - 7 วัน บิดาก็มาตามเจอและพาผมไปอยู่บ้านป้าที่อยู่ห่างไกลจากเพื่อน ๆ ที่เสพยา และผมก็มาสมัครเข้ารับราชการทหาร ตอนนั้นผมอายุ 20 ปี ผมจึงเริ่มเสพยาอีกโดยวิธีเผาไฟสูบควันระเหยผ่านน้ำครั้งละ 2 เม็ด เสพกับเพื่อน 3 คน ผมจะรวมเงินกับเพื่อนคนละ 60 - 100 บาท และเพื่อนจะเป็นผู้ไปซื้อจากคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง และนำมาเสพที่ห้องพักข้างเตียงนอนและได้เสพเพียงครั้งเดียว เนื่องจากทางค่ายเสนาณรงค์มีการตรวจปัสสาวะ ต่อมาผมก็ถูกปลดประจำการ
พอผมได้ออกจากราชการทหารผมก็เสพเมทแอมเฟตามีนกับเพื่อนมาโดยตลอดจนกระทั่งในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 21.00 นาฬิกา หลังจากที่ผมได้เสพยาเสร็จก็กลับบ้านและพบกับบิดา โดยบิดาบอกว่ามีผู้เสียหายมาบอกว่าผมกระชากสร้อยคอทองคำไป และบิดาให้เพื่อนที่เป็นตำรวจนำผู้เสียหายมาชี้ตัวผมและพาผมไปที่สถานีตำรวจ ผลการตรวจปัสสาวะปรากฏว่าผมมีสารเสพติดในปัสสาวะแต่ไม่มีไว้ในครอบครอง จากนั้นผมก็ถูกคุมความประพฤติและให้เข้ารับการบำบัดฟื้นฟูฯ จนถึงขณะนั้นผมก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีกเลย
นายกรกตได้ฝากทิ้งท้ายถึงผู้กำลังจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือผู้ที่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องแล้วว่า "ใครที่คิดจะทดลองเสพยาก็ขอให้เลิกความคิดนั้นเถอะครับ มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นเลย สำหรับผู้ที่เสพยาอยู่ก็ขอให้เลิก ขอให้คิดถึงพ่อแม่ผู้ที่เลี้ยงดูเรามาว่าท่านจะเสียใจแค่ไหน ผมอยากจะขอโทษพ่อแม่และอยากจะบอกว่าผมรักพ่อแม่ครับ"
นี่คือคำพูดของนายกรกตผู้ที่ได้เดินทางผิดไปกับยาเสพติด อาจจะเป็นด้วยวัยที่อยากลองและเพื่อนชักนำ แต่สิ่งหนึ่งที่จะเห็นได้ว่าความรักของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ที่ไม่สามารถจะให้ลูกอยู่ในขุมนรกยาเสพติดอีกต่อไปได้ จึงยอมที่จะให้ลูกถูกจับเพื่อให้พ้นจากยานรกนี้ให้ได้
เป็นบันทึกที่มีคุณค่ามากเลยนะคะ อ่านแล้วได้ความรู้สึกของหัวอกคนเป็นพ่อแม่
แค่ครูอ้อยเป็นครู รู้ข่าวเรื่องลูกศิษย์ในอดีตที่เคยสอนตอนอยู่ต่างจังหวัดติดยา ครูอ้อยยังเศร้าใจ
ครูอ้อยจะนำเรื่องนี้ไปเล่าให้นักเรียนตัวน้อยๆของครูอ้อยฟัง อาจจะพริ้นท์บันทึกนี้ไปอ่านโดยตรงก็ได้
ขอบคุณมากนะคะ