แต่.....วันนี้เป็นวันที่ไม่มีสายตาของแม่ที่มองตอบกลับมา มันเร็วมาก...ตอนที่หมอบอกเราว่าอาการของแม่จะค่อย ช้าลงทุกอย่างทั้งความเคลื่อนไหวของร่างกาย..คำพูด..การตอบสนอง เรายังไม่ค่อยเชื่อหมอเท่าไหร่ วันที่22ตุลาคม 2552 นักเรียนแพทย์ที่เคยมาเรียนกับแม่เราขอพบญาติและบอกเราว่าให้พาแม่กลับบ้าน ...เพราะ...แม่จะอยู่ได้อีกไม่นาน ...หมอใช้คำพูดว่า...คุณยายจะได้กลับไปอยู่ท่ามกลางลูกหลานในวาระสุดท้าย......ให้ลูกหลานได้ดูแล ..เราถามแม่ว่าแม่จ๋า..พอเราขึ้นต้นแม่จ๋าทีไรแม่เคยพูด...ฉันเสียวสันหลังทุกทีที่แกขึ้นต้นแบบนี้ฉันต้องควักกระเป๋าอีกแน่ๆ...เราอ่านสายตาแม่ แล้วเราก็บอกแม่แบบตื่นเต้นดีใจว่าหมอให้แม่กลับบ้านได้แล้ว...แม่จะกลับเลยมั้ย..? แม่บอกว่าฉันไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ย..แต่เราแกล้งไม่ได้ยินเลยไม่ต้องตอบพร้อมสวนคำถามกลับไปว่าแม่จ๋าเอาของไปให้เพื่อนๆแม่นะ แม่เลยหันมาสนใจคำถามของเรามากกว่า..เฮ้อ!..รอดตัวไป
กลับมาถึงบ้านหลังจากไปอยู่ที่โรงพยาบาลนานถึง 3 เดือนแม่ก็เริ่นอ้อน ลูก หลาน แต่ทุกคนก็ยินดีดูแลแม่โดยเฉพาะเจ้าหลานชายแสนรักที่ไม่ยอมห่าง เว้นตอนไปเรียน...แม่..จะห่วงลูกชายเราคนนี้มากเพราะเขาเลี้ยงมาตั้งแต่อายุได้3วันเป็นหัวแก้วหัวแหวน..เป็น..ไข่ลูกยอด...เป็นที่สุดของยาย..หลานข้าใครอย่าแตะมีวีรกรรมมากมายที่ยายสร้างเอาไว้เกี่ยวกับหลานชายคนนี้..แล้วจะบันทึกต่อไปนะคะในตอนที่เขาเป็นวัยรุ่น..
ท่ามกลางลูกหลานอย่างที่หมอบอกแม่สบายใจขึ้น แต่ อาการกลับทรดลง
มันเร็วมาก 22 กลับบ้าน 23 ตอนกลางคืน แม่เริ่มไม่ลืมตา ลุกเองไม่ได้....
ขอเป็นกำลังใจนะคะ เข้าใจความรู้สึกนี้ดีค่ะ