เรื่องของความเป็นธรรมในการบริหารค่าจ้างเงินเดือนนั้น ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ก็ยังคงพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างไม่มีทางสิ้นสุด แม้ว่าจะมีการอบรม และให้ความรู้ในเรื่องการบริหารค่าจ้างเงินเดือนมากสักแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ยังมีเรื่องราวของความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นอยู่เสมอมา ส่วนใหญ่ในเรื่องของความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นนั้น มักจะมาจากแนวคิดการบริหารมากกกว่า
เช่น เมื่อเดือน เมษายนที่ผ่านมา มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ 300 บาท ผลก็คือ นายจ้างก็มีการปรับค่าจ้างให้กับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้าง หรือเงินเดือนที่น้อยกว่า 300 หรือ 9,000 บาท ให้ได้เท่ากับที่กฎหมายกำหนด จากนั้นก็ไม่มีการปรับผลกระทบใดๆ เลย ให้กับพนักงานที่เดิมที่เคยได้อยู่ที่ 9,000 บาทอยู่แล้ว ซึ่งส่งผลทำให้พนักงานใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงาน ได้รับค่าจ้างเงินเดือนเท่ากับพนักงานเก่าที่ทำงานมานาน อีกทั้งบางคนก็เป็นพนักงานที่ทำผลงานดีมาตลอด
ถ้าถามว่าผิดกฎหมายหรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่ผิดเลยครับ
แต่ถ้าถามว่า ผิดหลักการบริหารค่าจ้างเงินเดือนหรือไม่ คำตอบก็คือ “ผิดแน่นอนครับ”
หลักในการบริหารค่าจ้างเงินเดือนนั้น มีหลักง่ายๆ แค่เพียง ให้เกิดความเป็นธรรมในการให้ค่าจ้างและเงินเดือนเท่านั้น ซึ่งในลักษณะของความเป็นธรรมนั้น จะประกอบไปด้วยดังนี้
บางองค์กรจัดทำโครงสร้างเงินเดือนขึ้นมาโดยที่ไม่มีการประเมินค่างานอย่างจริงจัง แต่ใช้แค่เพียงระดับชั้นของการบังคับบัญชามากำหนดระดับงาน ซึ่งตรงนี้เองที่ทำให้บางในบางตำแหน่งที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบสูงว่าบางตำแหน่ง กลับถูกจัดให้อยู่ในระดับเดียวกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นระดับเจ้าหน้าที่เหมือนกัน ผลก็คือ ตัวเลขการจ่ายเงินเดือนก็จ่ายอย่างไม่เป็นธรรมเมื่อเทียบกับคุณค่าของงาน งานที่ยากกว่า กลับได้ค่าตอบแทนที่เท่าๆ กับงานที่ง่ายกว่า ผลก็คือ พนักงานก็จะรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมอยู่ดี แม้ว่าเราจะพร่ำบอกว่า โครงสร้างเงินเดือนที่ได้มานั้นมาจากข้อมูลการสำรวจค่าจ้างในตลาดที่เราแข่งขันด้วยก็ตาม
ดังนั้นถ้าองค์กรของเราต้องการที่จะสร้างระบบการบริหารค่าตอบแทนที่เป็นธรรมจริงๆ สิ่งที่ควรจะเริ่มต้นก็คือ การประเมินค่างาน และจัดระดับงานตามค่างาน ให้กับทุกตำแหน่งงานในองค์กร เพื่อจัดสรรความยากง่ายของงานให้เหมาะสม และเป็นธรรมมากที่สุด
อย่างที่เคยได้เขียนไว้ในบทความเก่าๆ เกี่ยวกับการบริหารค่าจ้างเงินเดือนว่า วัตถุประสงค์ในการบริหารค่าจ้างเงินเดือนก็เพื่อดึงดูดและรักษาพนักงาน การที่เราจะสามารถดึงดูดและรักษาพนักงานได้ นั่นก็แปลว่าเราจะต้องจ่ายในระดับที่ทัดเทียมกับบริษัทที่เราแข่งขันด้วย เพื่อไม่ให้คนของเราไหลออกไป คำถามก็คือ แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า บริษัทเหล่านั้นเขาจ่ายกันที่เท่าไหร่
ดังนั้นการหลับตาบริหารค่าจ้าง โดยไม่มองตลาดเลยนั้นเป็นสิ่งที่ผิดอย่างยิ่งเลยครับ เพราะไม่เพียงจะทำให้อัตราการจ่ายของเราไม่มีหลักการแล้ว บางครั้งการที่เรากำหนดขึ้นมาเอง ก็จะทำให้จ่ายต่ำกว่า หรือสูงกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งก็ไม่เหมาะทั้งคู่ ต่ำไป ก็ไม่ดึงดูดและรักษา สูงไปก็เป็นภาระของบริษัทมาก ดังนั้นคนที่ทำหน้าที่บริหารค่าจ้างเงินเดือนจึงต้องสร้างความสมดุลย์ตรงนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้นั่นเอง
สิ่งที่เขียนในวันนี้ก็คือ การสร้างความเป็นธรรมในพื้นฐานการกำหนดอัตราค่าจ้างเงินเดือน โดยอาศัยค่างาน และอัตราตลาดมากำหนดว่าเราควรจ่ายเท่าไหร่ อย่างไร แต่ยังมีความเป็นธรรมอีกด้านหนึ่งก็คือ ความเป็นธรรมในเรื่องของการให้รางวัลผลงาน จะทำอย่างไรที่ทำให้พนักงานรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรมในเรื่องของรางวัลผลงาน ไว้มาอ่านต่อในวันพรุ่งนี้นะครับ
ขอบคุณบทความดีๆ ค่ะท่าน