วันนี้ฉันอ่านหนังสือเล่มที่มีคุณค่าทางจิตวิญญาณเล่มหนึ่งจบไปแล้ว พร้อม ๆ กับบางสิ่งบางอย่างที่ค้างคาใจฉันก็พลอยจบลงด้วย
หนังสือ "เธอคือใครที่ลากฉันไป" เป็นผลงานเขียนของนักคิดนักเขียนชาวเกาหลีใต้ อ็อก ซู พาร์ค และแปลโดย ปพิชญา เพียงแค่เห็นหน้าปกหนังสือ ฉันถึงกับต้องเดินเข้าไปหาผู้ขาย และยิ่งทราบว่าทั้งผู้เขียน และผู้ขาย ต่างมี เป้าหมายเดียวกันคือเพื่อการกุศลเป็นองค์กรที่มีเครือข่ายช่วยเหลือสังคม ยิ่งทำให้หนังสือเล่มนี้ยิ่งทวีค่า
หนังสือเล่มนี้บอกเล่าประสบการณ์จากชีวิตจริงของผู้คนที่ติดยาเสพติด
ติดเกมคอมพิวเตอร์ ติดหญิงโสเภณี วิเคราะห์เจาะลึกถึงแก่นในการเข้าถึงโลกแห่งจิตใจ ซึ่งเป็นโลกสากลแม้จะต่างศาสนาแต่เราสามารถเข้าถึงกันได้
สิ่งสำคัญที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอก็คือ การฝึกหักห้ามใจตั้งแต่วัยเด็กย่อมส่งผลถึงบุคลิกภาพและอนาคตของคนแต่ละคน
งานเขียนแบ่งเป็นหัวข้อใหญ่ ๆ รวม ๑๐ บท ลำดับเนื้อหาเข้มข้นน่าติดตาม บทที่ผู้เขียนประทับใจที่สุดก็คือ บทที่ ๖ การแลกเปลี่ยน มีหัวข้อย่อยที่อ่านแล้วต้องหยุดคิดหวนคำนึงถึงประสบการณ์ในอดีตของตน ก็คือ เรื่อง "อย่าเพิ่งเปิดไฟ ให้ทุกคนดึงสายคาดหมวกออก แล้วโยนทิ้งลงไปบนพื้นก่อน"
กล่าวถึงประเทศจีน ยุคสมัยของแคว้นฉู่ ท่านอ๋องจางชนะสงคราม บ้านเมืองสงบสุข ต้องการเลี้ยงตอบแทนบรรดาผู้บัญชาการ และทหารผู้รับใช้อย่างอย่างยิ่งใหญ่ มีการจุดเทียนอย่างสว่างไสว บรรดาผู้ร่วมงานต่างดื่มเหล้าคนละแก้ว สองแก้วอย่างมีความสุข
ทันใดนั้นเกิดกระแสลมแรงพัดเทียนทุกเล่มในงานดับทั้งหมด จู่ ๆ นางสนมที่นั่งใกล้ท่านอ๋องก็กรีดร้องขึ้นมา
"ว้าย ฝ่าพระบาทเพคะ มีคนแอบจุมพิตหม่อนฉันที่ริมฝีปากเพคะ...ฝ่าพระบาทเพคะ... หม่อมฉันดึงสายคาดหมวกของมันไว้ได้เพคะ...ขอพระองค์รีบรับสั่งให้เปิดไฟขึ้น แล้วจับชายที่สายคาดหมวกหลุดหายไป เพื่อเจ้าคนผิดจะได้ถูกสับเป็นชิ้น ๆ เถิดเพคะ"
ในเบื้องต้นท่านอ๋องโกรธมาก "...รีบจับไอ้คนนี้มาประหารทันที..." แต่เมื่อพระองค์ทรงไตร่ตรองถึงเรื่องนี้อีกครั้งก็ทรงมีพระราชดำริใหม่ขึ้นมาว่า
"วันนี้ เราจัดงานเลี้ยงเพื่อมอบความสุขให้กับบรรดาผู้ที่รับใช้เราอย่างจงรักภักดี ถ้าเราจับคนผิดมาลงโทษเสียแล้วงานเลี้ยงฉลองครั้งนี้จะมีประโยชน์อันใด ท่านทรงทบทวนใหม่ว่า ตอนที่เมาเราเองก็ทำเรื่องที่ไม่สมควรได้นี่นา เขาคงเมาและไม่มีเจตนา แต่คงเป็นเพราะความเมาบวกกับความงามของสนมเราด้วย"
ท่านคิดดังนั้นจึงรับสั่งว่า "อย่าเพิ่งจุดไฟ ทุกคนดึงสายหมวกออกแล้วโยนทิ้งบนพื้นให้หมดแล้วค่อยจุดไฟ"
เทียนทุกเล่มในงานสว่างไสวอีกครั้งหนึ่ง ท่านอ๋องจางและข้าราชการดื่มกันอย่างมีความสุข เหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
สามปีต่อมา แคว้นฉู่ต้องเผชิญกับศึกใหญ่มากจนไม่มีใครกล้าต้านทาน หากแต่มีผู้บัญชาการท่านหนึ่งอาสาไปรบและได้รับชัยชนะกลับมา และเข้าเฝ้า ท่านอ๋องจานปิติยินดีมากและมอบรางวัลให้ แต่ผู้บัญชาการกลับตอบว่า "โปรดทรงประหารข้าพระองค์เถิด พะยะค่ะ"
จากนั้นเขาก็สารภาพว่าตนคือผู้ที่แอบจุมพิตสนมของท่านอ๋องจานเมื่อสามปีที่แล้ว รู้สึกสำนึกในบุญคุณและต้องการตอบแทนพระคุณขององค์เหนือหัว และคิดว่าชีวิตไม่มีอะไรที่น่าเสียดายแล้วจึงสมควรตาย
ท่านอ๋องจานจับมือผู้บังคับบัญชาแล้วประคองลุกขึ้น "ขอบใจท่านผู้บังคับบัญชาการมาก อันที่จริงท่านได้ช่วยแคว้นของเราเอาไว้ต่างหาก และยังช่วยชีวิตของเราด้วย"
................................................................................
ฉันอ่านเรื่องนี้จบลง พร้อม ๆ กับภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ฉันไม่เคยลืม นั่นคือวันปฐมนิเทศนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งซึ่งฉันเคยสอน และรับหน้าที่เป็นพิธีกรในวันนั้น
เกือบสี่โมงเย็น เมื่อกิจกรรมต่าง ๆ สิ้นสุดลงแล้ว มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งร้องไห้สะอึกสะือื้นบอกว่าโทรศัพท์หาย และเธอคาดว่าเพื่อนจะขโมยไป ทั้งครูและกรรมการนักเรียนต่างปลอบโยน และมีความคิดเห็นเหมือนกันว่าควรค้นตัวนักเรียนทุกคนก่อนกลับบ้าน
ผู้อำนวยการคนใหม่ซึ่งเพิ่งย้ายมาไม่นาน ท่านเดินมาถามถึงปัญหา พร้อมทั้งส่ายศีรษะบอกว่าไม่ต้องค้น ปล่อยให้นักเรียนกลับไปเถอะเพราะเย็นมากแล้ว และเป็นความผิดของเด็กเองเพราะห้ามไม่ให้นำของมีค่ามาโรงเรียนแล้ว
ทั้งฉัน ทั้งครู และเด็ก ๆ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกไม่พอใจผู้บริหาร และนึกเจ็บแค้นแทนเด็กที่โทรศัพท์หาย ทั้งอยากเห็นหน้าขโมยที่ลักของเพื่อนไป...ลึก ๆ ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้อำนวยการคิดอะไรอยู่ อยากจะถามแต่ไม่กล้าถาม...
วันนี้ฉันได้คำตอบถึงการ "ก้าวข้ามความคิดขั้นแรกไปจะทำให้เราลึกซึ้งและกว้างไกล" เพราะผลลัพธ์ของการคิดขั้นแรกกับการคิดขั้นที่สองแตกต่างกันมากจากตัวอย่าง"อ๋องจาน"ที่เล่า
ฉันอดคิดไม่ได้ ในวันนั้นหากโทรศัพท์เครื่องที่หายอยู่ในกระเป๋าของนักเรียนคนใดคนหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นขโมยตัวจริงหรือไม่เราไม่อาจทราบได้ เด็กที่เป็นเจ้าของกระเป๋าจะเป็นอย่างไร ? เมื่อถูกคำพิพากษาจากสังคม
ขอบคุณ ผอ.อนันต์ เอกเผ่าพันธุ์ ที่มอบบทเรียนชีวิตที่ยิ่งใหญ่ให้ฉันได้เรียนรู้ "โลกแห่งจิตใจ" ได้ดีขึ้น
ขอบคุณข้อคิดดีๆที่นำมาแบ่งปันค่ะ..
ต้องสอยมาอ่านแล้วครับพี่ครู
ขอบคุณครับ .. ได้อ่านบทความดี ๆ อีกแล้ว เย้ๆ
หลายชีวิต เติบโตจากการอ่านหนังสือ..
..
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ
อ่านแล้วอมยิ้มอิ่มใจ...
ขอบคุณข้อคิดดีๆ นะคะ
ยอดเยี่ยมครับ
แวะมาเยี่ยมเยือนหลังจากหายไปนาน ค่ะชื่นชมค่ะอาจารย์
สวัสดีค่ะ คุณสุภา
ขอบพระคุณที่แวะมาเยี่ยมเยือนให้กำลังใจค่ะ