การทำหน้าที่วิทยากระบวนการในเวที “ค่ายโฮมฮักรักลูกหลานโภชนาการดี” ตอกย้ำให้ผมเห็นมิติของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของ “เด็กและเยาวชน” ในวัยเรียนที่ยังต้องขับเคลื่อนภายใต้โครงสร้างของภาครัฐและเอกชน หรือแม้แต่ท้องถิ่นนั้นๆ
ค่ายโฮมฮักรักลูกหลานโภชนาการดี เป็นเสมือนกลไกหนุนเสริมให้แต่ละโรงเรียนได้ยกระดับตัวเองสู่การเป็นโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ ระดับเพชร โดยไม่ละเลยที่จะพัฒนาทรัพยากรบุคคลไปพร้อมๆ กัน มิใช่แค่ทำและทำเพื่อให้ผ่าน “ตัวชี้วัด” เท่านั้น
เป็นที่น่ายินดีว่าโครงการดังกล่าว ริเริ่มสร้างสรรค์โดยบริษัทไฮคิว อุตสาหกรรม จำกัด (โรซ่า : ROZA) ร่วมกับ สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โดยมีบริษัทเลมอนเรย์ เป็นส่วนหนึ่งในการทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานและขับเคลื่อนกระบวนการต่างๆ
กรณีดังกล่าว ผมชื่นชมกระบวนการที่ภาคเอกชนได้เข้ามามีบทบาทต่อเรื่องดังกล่าว แทนที่จะมอบเป็นทุนการศึกษาให้กับโรงเรียน หรือนักเรียนแบบเสร็จสรรพ (เสมือนให้แล้วจบๆ กันไป) แต่กลับมอบเป็นทุนให้โรงเรียนในจังหวัดอุดรธานี-หนองคายได้นำไปจัดกิจกรรมในโรงเรียน ด้วยการสนับสนุนให้แต่ละโรงเรียนได้ “คิด -ได้ออกแบบ -บริหารจัดการ” ด้วยตนเอง
นอกจากนี้แล้ว- ก่อนการดำเนินงานโครงการฯ ยังจัดเวที “เสริมพลังและติดอาวุธทางปัญญา” ให้กับผู้เกี่ยวข้องอย่างไม่ลดละ เช่น การเขียนโครงการ การบริหารโครงการ การสร้างองค์ความรู้ในเรื่องโรเรียนส่งเสริมสุขภาพ สร้างความรู้และความเข้าใจในเรื่องตัวชี้วัด สร้างการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับกิจกรรมและกระบวนการขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จ สร้างแกนนำนักเรียนสร้างแกนนำครู สร้างแกนนำแม่ครัว-พ่อครัว
รวมถึงการออกเยี่ยมเยียนให้คำแนะนำในทุกกระบวนการและทุกตัวชี้วัด
ผมว่านี่เป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่ควรเอาแบบอย่าง แทนที่จะบริจาคเงินให้จบๆ กันไป สุดแท้แต่โรงเรียนจะนำไปใช้อะไร แต่นี่กลับให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียผ่านกระบวนการอันหลากหลาย เป็นการพัฒนาคน พัฒนาระบบ เห็นความสำคัญของความเป็น “มนุษย์” หรือ “ศักยภาพของมนุษย์” ซึ่งผมมองว่าเหมาะสมอย่างยิ่งกับกระบวนการเรียนรู้ในการศึกษาของศตวรรษนี้
เพราะเป็นการ "ให้" ที่ทำให้ผู้รับและผู้ให้รู้สึกถึง “คุณค่า” และ “ศักดิ์ศรี” เป็นการให้ที่สร้างกระบวนการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่หยิบยื่นให้ผ่านการสอน (และสอนแต่เพียงฝ่ายเดียว) โดยไม่คิดคำนึงถึง "ความยั่งยืน” และ“ศูนย์กลางที่แท้จริงของการเรียนรู้”
ก่อนกระบวนการของผมนั้น คณะครูที่เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการได้รับความรู้ผ่านฐานต่างๆ (ฐานความรู้ : สนุกกับเกณฑ์ชี้วัด) มาแล้วอย่างเต็มที่ ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์ด้านวิทยากรจากกรมอนามัย และสำนักงานสาธารณสุขในพื้นที่ฯ โดยแบ่งเป็นฐานต่างๆ คือ (1) โภชนาการช่ะ..ชะ..ช่า (2) สิ่งแวดล้อม..ชอบใจ (3) ปากฟัน..ดูแลกัน..ขยันทำได้ (4) กายสดใส..จิตใจฮาเฮ (4) โครงงานจ๊ะจ๋า..มีปัญหา..ถอยไป
ซึ่งฐานทุกฐานล้วนเน้นการถ่ายทอดและทำความเข้าใจ หรือแม้แต่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในเรื่องของ ”ตัวชี้วัด” หรือ “เกณฑ์ประเมิน” ในการก้าวสู่การเป็นโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพในระดับเพชร
กระบวนการของผมเริ่มต้นในช่วงเวลาของการปราบเซียน (ภาคบ่ายหลังอาหารมื้อเที่ยง)
ผมเริ่มต้นกระบวนการทั้งปวงด้วยการให้นิสิต (ลูกทีม) ได้จัดกิจกรรมละลายพฤติกรรมคณะครูด้วยการตีกลองร้องเต้น ถัดจากนั้นก็เปิดคลิป-หนังสั้นให้ดูเพลินๆ เป็นการเช็คสมาธิ สร้างความบันเทิงและแรงบันดางใจไปในตัว
และนั่นก็คือกระบวนการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ในช่วงของผม
ด้วยเวลาอันจำกัดเพียงไม่ถึงชั่วโมง ผมรวบรัดเนื้อความทั้งปวงให้สั้นลง อธิบาย “โจทย์” ที่จะให้อาจารย์ต่างๆ ได้แลกเปลี่ยนและเรียนรู้ร่วมกัน นั่นคือการชวนให้คณะครูทุกกลุ่มได้ระดมความคิดเห็นในหัวข้อกว้างๆ หลวมๆ ว่า “ประเด็น “ออกแบบกิจกรรมสู่การขับเคลื่อนโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ” (ความรู้สู่การปฏิบัติ) โดยเน้นการ “โสเหล่” สู่การถ่ายทอดความคิดเป็นแผนภาพความคิด (Mind Mapping)
กรณีดังกล่าว ผมทำความเข้าใจให้คณะครูได้ผูกโยงความรู้จากการเข้าฐาน ผสมผสานกับความรู้ที่ผ่านการทำจริง เห็นจริง (ปัญญาปฏิบัติ) ในวิถีที่ครูลงแรงขับเคลื่อนเรื่องโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพมาอย่างยาวนาน รวมถึงความรู้ที่เกิดจากการได้โสเหล่กับเพื่อนๆ ในกลุ่ม
ครับ- การฟังวิทยากรประจำฐาน คือการรับสาร ประเมินความรู้เดิมและเปิดรับความรู้ใหม่
ครับ- การนั่งโสเหล่กับสมาชิกในกลุ่ม คือการเรียนรู้ร่วมกัน คือการสังเคราะห์ความรู้ร่วมกันเพื่อนำไปสู่การออกแบบกิจกรรม ออกแบบเครื่องมือ วิธีการของการขับเคลื่อนให้บรรลุต่อเป้าหมาย..ปลายทาง อันเป็นฝั่งฝัน (คุณภาพชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนและเหรียญรางวัลระดับเพชร)
ครับ-การนำความรู้มาสู่การแลกเปลี่ยนและร่วมออกแบบกิจกรรม ที่พร้อมจะนำไปเป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน ผมถือเป็นกระบวนการของการนำไป “ใช้” หรือ “ประยุกต์ใช้” ภายใต้บริบทของแต่ละสถานศึกษา
ซึ่งในห้วงของการโส่เหล่ในแต่ละกลุ่ม ผมจะมีทีมงาน “พี่เลี้ยง” คอยหนุนเสริมและอำนวยความสะดวกเพื่อก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันให้มากที่สุด
กระบวนการดังกล่าวนี้ คงไม่เพียงก่อเกิดองค์ความรู้ หรือภาพที่แจ่มชัดขึ้นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการงานเท่านั้น หากแต่ยังหมายถึงการพยายามสร้างเครือข่ายการทำงานในลักษณะของ “เพื่อนช่วยเพื่อน...” ไปในตัว
และเมื่อกระบวนการโสเหล่ได้ยุติลง ก็ได้เวลาของการนำเสนอจากแต่ละกลุ่มภายใต้วาทกรรมที่เจ้าภาพชูโรงว่า “แกะโบว์ SHOW OFF”
การนำเสนอ (PRESENT) ของแต่ละกลุ่ม ค้นพบประเด็นที่เหมือนและต่างกัน อาทิ 3 กลุ่มแรกเน้นการออกแบบกิจกรรมเพื่อขับเคลื่อนเรื่องโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ โดยหยิบจับข้อปัญหา (SWOT) หรือตัวชี้วัดที่ตนเองประสบอยู่มาเป็นหัวใจหลัก นั่นก็คือโครงงานที่เกี่ยวกับห้องสุขา โครงการงานที่เกี่ยวกับเด็กไทยไร้พุง โครงงานที่เกี่ยวกับการกินผัก
ขณะที่สองกลุ่มหลังมาในรูปของ “ระบบและกลไก” การขับเคลื่อน เช่น การกำหนดนโยบาย การถ่ายทอดนโยบายสู่การปฏิบัติ การถ่ายทอดความรู้ การมอบหมายภารกิจแบบมีส่วนร่วม (ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมออกแบบ ร่วมลงมือทำ ร่วมรับผิดชอบ) ทั้งในระดับครู นักเรียน แม่ครัวพ่อครัว คณะกรรมการการศึกษา ผู้ปกครอง ฯลฯ
ครับ-นี่คือภาพสะท้อนเล็กๆ และคร่าวๆ ในเวทีกระบวนการเรียนรู้ที่ผมรับผิดชอบในวันนั้น (14 กันยายน 2555) ซึ่งเป้าหมายหลักในเวทีก็คือ “ครู” ส่วนนักเรียน- ผู้ซึ่งเป็นเสมือนลมหายใจของปัจจุบันและอนาคตของชาติ ยังคงอยู่ที่โรงเรียน และจะเดินทางมาสมทบในวันพรุ่งนี้ (15 กันยายน 2555)
ในทัศนะของผม - การเริ่มต้นด้วยการติดอาวุธทางความคิดจากครูเช่นนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะช่วยให้ครูได้ทบทวนองค์ความรู้เดิมไปพร้อมๆ กับความรู้ใหม่ที่มาจากวิทยากรและเพื่อนครูจากต่างโรงเรียนที่มาโสเหล่ร่วมกัน ซึ่งต่างคนต่างสัมผัสกับประสบความสำเร็จและล้มเหลวมาก่อน
การเริ่มต้นด้วยการติดอาวุธทางความคิดจากครูเช่นนี้ จะเป็นการพัฒนาทักษะของครูไปในตัว เพื่อให้ครูกลับไปพร้อมๆ กับความมั่นใจในการที่จะเป็น “ต้นแบบ” และ “พี่เลี้ยง” ให้กับนักเรียน เพราะเรื่องทั้งปวงนี้ ครูจะทำคนเดียว หรือทำเฉพาะครูไม่ได้ หากไม่นับเครือข่ายทั้งหลายทั้งปวง อาทิ แม่ครัวพ่อครัว สสจ. รพสต. ผู้ปกครอง หน่วยงานเอกชน นักเรียนผู้ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้นั่นแหละ คือผู้ที่มีบทบาทในการกำหนดชะตากรรมของโรงเรียนและของเขาเอง
รวมถึงการหันกลับมาย้ำถึงวาทกรรมกระบวนการที่ผมรับผิดชอบคือ “ฟัง >> สังเคราะห์ >> ประยุกต์ใช้” ภายใต้กลไกการทำงานแบบมีส่วนร่วม ภายใต้ความรักที่มองว่านักเรียนเป็นลูกเป็นหลาน เป็นปัจจุบันและอนาคตของสังคม โดยความรู้ทั้งปวงในวันนี้ จะไม่เกิดประโยชน์อันใด หากไม่มีการนำไป “ใช้” และ “ประยุกต์ใช้” ภายใต้บริบทของตนเอง
...
โครงการโฮมฮักรักลูกหลานโภชนาการดี
14 กันยายน 2555
ณ นาข่าบุรี –อุดรธานี
โดย บริษัทไฮคิว อุตสาหกรรม จำกัด (โรซ่า : ROZA)
ร่วมกับ สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
เขียนบันทึกทีไร ผมออนไลน์ทุกที ;)...
Happy Ba ครับ ;)...
สวัสดีครับ อ.วัส Wasawat Deemarn
เรื่องระหว่างเรา -...มันคือ ชะตากรรม ...ครับ
พี่เขี้ยว เห็นความตั้งใจของวิทยากรแล้ว ยกนิ้วให้
เพราะการที่จะทำกิจกรรมเพื่อให้ผ่านการประเมินนับว่ายาก
แต่ที่ยากกว่า คือ ทำอย่างไร ให้โรงเรียนเหล่านั้น
คงคุณภาพเป็น รร.ไม่ว่าจะระดับ ทอง หรือเพชรที่ยั่งยืนมากกว่าค่ะ
สวัสดีครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ผมชื่นชมวิธีคิดของการทำงานผ่านระบบเครือข่าย ภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะการที่เอกชนเข้ามาร่วมขับเคลื่อน ซึ่งหลายเรื่อง หลายโครงการประสบความสำเร็จได้รวดเร็ว เพราะไม่ติดเงื่อนไข หรือวัฒนธรรมของระบบราชการ ยิ่งถอดบทเรียนกับเอกชน พอค้นพบเรื่อใด ก็มักนำไปต่อยอด ขยายผลอย่างต่อเนื่อง ต่างจากภาครัฐ ถอดบทเรียนแล้ว กว่าจะได้ขับเคลื่อนก็สร่างซา หรือรับช่วง ต่อยอดกันไม่ทัน
การให้กลับของเอกชนที่ดำเนินการไปบนพื้นฐานของการศึกษานั้น ผมถือว่า เป็นการให้ที่น่าสนใจ ไม่ใช่ให้เหมือนการสงเคราะห์ที่พบเห็นเกลื่อนในสังคม อย่างน้อยในโครงการนี้ฯ ก็ทำให้เห็นการเรียนรู้ด้วยกัน เป็นการติดอาวุธทางปัญญา เป็นการสร้างเสริมทักษะชีวิต และสร้างพื้นที่ความสุขในทางการศึกษาที่ดียิ่ง...ไม่ใช่ให้เงินแล้วจบๆ กันไป...
สวัสดีครับ พี่หมอ.ธิรัมภา
ทีมหนองคาย มีพลังมากพอ และเชื่อว่าจะยกระดับสถานศึกษาสู่การเป็นโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพที่ได้มาตรฐานในไม่ช้า...
แต่สิ่งที่ผมสนใจมากเป็นพิเศษก็คือ การสอนงานในระดับโรงเรียน เพื่อให้เกิดพลังของการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพราะนั่นคือแนวโน้มของความเข้มแข็ง-...
...
ไว้โอกาสหน้า เจอกันนะครับ
สวัสดีครับ พี่เขี้ยว มนัญญา ~ natachoei ( หน้าตาเฉย)
ผมเองก็เคยได้เปรยแบบเงียบๆ และสุภาพกับครูบางท่านในทำนองว่า การรักษาคุณภาพที่มีอยู่ สำคัญยิ่งกว่าเหรียญรางวัลใดๆ...และยิ่งหากทำให้นักเรียนสามารถดูแลตัวเอง และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเรื่องเหล่านี้ ยิ่งถือว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทาย...
อะไรๆ ในโลกใบนี้ ยังต้องพัฒนาผ่านการศึกษา...
ภาระของ "ครู" หนัก-เหนื่อย
คงต้องให้กำลังใจกันครับ