วิเคราะห์เปรียบเทียบ
ระหว่างสคาถกัมในคัมภีร์ ลังกาวตารสูตร
และปฏิจจสมุปบาทของท่านพุทธทาสภิกขุ
“สคาถกัม” นั้น เมื่อพิจารณาแล้วก็จะเห็นได้ว่า เป็นการกล่าวถึง จิตที่เป็นตัวเข้าไปรับรู้หรือยึดติดอยู่กับใจ ว่าเนื้อแท้จริง ๆ แล้ว สิ่งที่รับรู้หรือยึดติดนั้น ไม่มีอยู่เลย เป็นเพียงแค่สิ่งสมมติ โดยการรับรู้ผ่านทางประสาทสัมผัสเท่านั้น เนื่องจากสิ่งทั้งหมดนั้น อยู่ที่ว่าใครจะมองอย่างไร ระหว่างความมีอยู่และความไม่มีอยู่ ถ้าพูดหรือมองดูแบบคนทั่วไป ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีอยู่ (แต่มีอยู่อย่างไม่มั่นคงถาวร) และถ้ามองด้วยความจริงอันสูงสุด ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมไม่มีอยู่ และการที่จะทำให้เรานั้น สามารถคิดแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้ ก็คือ ตัวรู้ หรือ ชญาน ที่เป็นตัวคิดและทำให้เราเข้าใจสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น
จิตนั้น ก็เหมือนวัตถุทั่ว ๆ ไป ที่จะต้องมีสิ่งมาสัมผัส จากปัจจัยภายนอก หรือปัจจัยภายใน เพราะธรรมชาติดั้งเดิมของจิตนั้น ต้องอาศัยปัจจัยเป็นเหตุจึงจะเกิดมีได้ และเมื่อตราบใดที่จิตยังเกี่ยวข้องอยู่กับโลก ตราบนั้นความคิดว่ามีอยู่หรือไม่มีอยู่ ก็ยังมีอยู่ ต่อเมื่อจิตที่นึกคิดไปเองหายไป เพราะความเกี่ยวข้องอยู่กับโลกของจิตนั้นถูกขจัดไปโดยสิ้นเชิง ด้วยชญาน ความมีอยู่หรือไม่มีอยู่ ก็ย่อมไม่มี
ส่วน “ปฏิจจสมุปบาท” นั้น เป็นการกล่าวถึง จิตที่มีเหตุปัจจัยต่าง ๆ มาปฏิฆะแล้วทำให้เกิดขึ้น โดยอาศัยหลักการทั้ง ๑๑ อาการ สืบเนื่องต่อกันเป็นระบบ และปฏิจจสมุปบาทก็ยังสามารถที่จะเกิดขึ้นชั่วขณะอึดใจเดียว หรือสองอึดใจ แล้วก็เป็นปฏิจจสมุปบาทครบได้ทั้งรอบทั้ง ๑๑ อาการ โดยไม่ต้องรอให้ครบทั้ง ๓ ชาติ
เมื่อพิจารณาลงไปอีกปฏิจจสมุปบาทนั้น ก็ยังแสดงให้เห็นถึงอาการต่าง ๆ ที่สิ่งทั้งหลายสัมพันธ์เนื่องอาศัยเป็นเหตุปัจจัยต่อกัน และไม่มีความคงที่ อยู่ด้วยตัวของมันเองอย่างเดิมแม้อยู่ชั่วขณะเดียว พูดอีกนัยหนึ่ง อาการที่สิ่งทั้งหลายปรากฏเป็นรูปต่าง ๆ มีความเจริญความเสื่อมเป็นไปต่าง ๆ นั้น แสดงถึงสภาวะที่แท้จริงของมันว่าเป็นกระแสหรือกระบวนการ ความเป็นกระแสแสดงถึงการประกอบขึ้นด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ รูปกระแสปรากฏเพราะองค์ประกอบทั้งหลายสัมพันธ์เนื่องอาศัยกัน กระแสดำเนินไปแปรรูปได้เพราะองค์ประกอบต่าง ๆ ไม่คงที่อยู่แม้แต่ขณะเดียว องค์ประกอบทั้งหลายไม่คงที่อยู่แม้ขณะเดียวเพราะไม่มีตัวตนที่แท้จริงของมัน ตัวตนที่แท้จริงของมันไม่มีมันจึงขึ้นต่อเหตุปัจจัยต่าง ๆ เหตุปัจจัยต่าง ๆ สัมพันธ์ต่อเนื่องอาศัยกัน จึงควบคุมเป็นกระแสได้ ความเป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องอาศัยกัน แสดงถึงความไม่มีต้นกำเนิดเดิมสุดของสิ่งทั้งหลาย
สรุปความว่า ทั้งสคาถกัมในคัมภีร์ลังกาวตารสูตร และปฏิจจสมุปบาทของท่านพุทธทาสภิกขุนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการอธิบายเสนอแนวคิดและมุมมองของแต่ละคัมภีร์ สคาถกัมก็มีความจริงของสคาถกัม ปฏิจจสมุปบาทก็มีความจริงของปฏิจจสมุปบาท อาจจะมีบางอย่างที่เหมือนกันบ้าง เช่น การที่จะเกิดอะไร ต้องอาศัยปัจจัยเป็นเหตุเกิด แต่ไม่ได้หมายความว่าทั้ง ๒ คัมภีร์นั้น จะเหมือนกันทั้งหมด เป็นเพียงแค่ความคลายคลึงกันเท่านั้น
และที่อยากจะพูด ก็คือ ในความรู้สึกสามัญของมนุษย์ ความรู้ในบัญญัติต่าง ๆ เกิดขึ้นโดยพ่วงเอาความเข้าใจในปัจจัยและความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องเข้าไว้ด้วยเหมือนกัน แต่เมื่อเกิดความกำหนดรู้ขึ้นแล้ว ความเคยชินในการยึดติดด้วยตัณหา อุปาทาน ก็เข้าเกาะกับสิ่งในบัญญัตินั้น จนเกิดความรู้สึกเป็นตัวตนขึ้นอย่าง หนาแน่น บังความสำนึกรู้ และแยกสิ่งนั้นออกจากความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น ๆ ทำให้ไม่รู้เห็นตามที่มันเป็นและสิ่งที่คิดว่าตัวเราและของเราจึงแสดงบทบาทได้เต็มที่
ไม่มีความเห็น