หน้าฝน...กับคนคิดถึงป่า


อาหารเที่ยงที่หาได้ก็มีหลายอย่างแล้วแต่วัน มีจิ้งหรีดบ้าง ยาหมาน้อยบ้าง กิ้งก่าบ้าง ปลาบ้าง ผักต่างๆบ้าง เห็ดบ้าง เป็นอาหารที่น้อยแต่อร่อยสุดๆ

        คนเกิดริมป่าหลายคนคงจะรู้ดีว่า ไม่ว่าจะเป็นป่าไหนๆ ก็คงจะทราบดีว่าป่าหน้าฝนนั้นมีอะไรน่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารป่า ที่หลากหลายกว่าฤดูกาลอื่นๆ สิ่งสวยงามที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ขึ้นมา ลำธารเล็กที่ไหลริน...

        เล่าถึงบ้านของผู้เขียน  ผู้เขียนเกิดที่ โรงพยาบาล อ.ชานุมา จ.อุบลราชธานี ใน พ.ศ.2535 ต่อมา พ.ศ.2537  ก็เปลี่ยนเป็น จ.อำนาจเจริญ แม่กับพ่อเป็นครูสอนที่บ้านคำแก้ว อำเภอเดียวกัน แม่เล่าให้ฟังว่าตอนเกิดนั้นแม่ปวดท้องมาก ด้วยความที่เป็นหมู่บ้านที่ห่างไกลการเดินทางก็ลำบากมากเนื่องจากสมัยนั้นยังไม่ค่อยมีรถ แม่จึงได้อาศัยรถของช่างทำโบสพาไปโรงพยาบาลชานุมาน ด้วยระยะทางที่ไกลคนขับรถจึงบอกว่า "ถ้าทนบ่ไหวกะ ออกใส่รถโลดครู"เพาระว่าเขาถือว่าถ้ามีคนครอดลูกใส่รถ จะถือเป็นเรื่องดีมาก เป็นศิริมงคล

        ขนาดเกิดยังเกือบเกิดอยู่กลางป่า ช่วงจากนี้ถึง 4 ปีผมก็อยู่ที่โรงเรียนบ้านคำแก้วโดยมีพี่เลี้ยงเป็นยายของผมเอง แล้วยังมีลูกศิษย์ของพ่อที่มาช่วยเลี้ยงด้วย พอโตขึ้นพ่อกับแม่ก็ย้ายโรงเรียน ไปที่โรงเรียนบ้านบุ่งเขียว ต.โคกก่ง ซึ่งเป็นตำบลเดียวกันกับบ้าน(ภูมิลำเนา)ของผม ซึ่งโรงเรียนอยู่ห่างจากบ้าน 4 กิโลเมตร โรงเรียนนี้ก็เต็มไปด้วยป่า ทางด้านหลังโรงเรียน มีลำห้วยอยู่ด้านหลังโรงเรียนด้วย ป่านี้ผมและเพื่อนๆหนีไปเล่นอยู่เป็นประจำ มันสนุกมากอย่างบอกไม่ถูกเพราะว่าไม่ค่อยได้ออกไปเล่นอย่างนี้ เนื่องจากที่บ้านห้ามไว้ จึงเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นมาก

       เล่าไปถึงพี่เลี้ยงของผมซึ่งก็คือยายของผมนั่นเอง ยายกับตาผมท่านย้ายจากบ้านที่บ้านโคกก่ง(ตัวบ้าน)ไปอยู่ที่นาซึ่งห่างจากบ้านไปทางบ้านบุ่งเขียว 2 กิโลเมตร ซึ่งก็คือกึ่งกลางระหว่างบ้านกับโรงเรียนนั่นเอง เวลากลับจากโรงเรียนก็ต้องแวะกินข้าวเย็นที่นาเสมอ ถ้าเป็นเย็นวันศุกร์ผมก็จะไปนอนนากับตากับยายที่นาเป็นประจำ มันเป็นความสุขของเด็กขายคนหนึ่ง กลางคืนนาที่นาจะจุดตะเกียงเพื่อให้แสงสว่าง เนื่องจากไฟฟ้ายังมาไม่ถึง เสียงกบเสียงเขียดดังระงมไปทั่วในหน้าฝน ยิ่งเสียงฝนตกด้วยแล้ว มันได้หล่อหลอมให้เด็กชายคนนี้ชอบที่จะอยู่กับธรรมชาติ ในเวลาที่น้าผมกลับมาจากเรียนหนังสือ(ปิดเทอม)ที่กรุงเทพฯ ยายจะพาขึ้นภูแป้น ไปเก็บผักหวาน และหาของป่าอื่นๆ มันช่างสนุกเหลือเกิน บางครั้งก็พาไปเก็บเห็ด ยายรู้จักทุกที่ๆมีเห็ด ยายรู้ว่าอากาศแบบไหนเห็ดจะออก ยายของผมสุดยอดมากจริงๆ พอหามาได้ แม่ก็จะทำอาหารอร่อยๆให้กิน ช่างเป็นครอบที่อบอุ่นจริงๆครับ 

       เส้นทางในหน้าฝนจะเต็มไปด้วยหลุมบ่อของทางลูกรังสีแดง และทางรถไถนาที่แสนจะคับแคบแต่ก็เป็นทางที่บ่งบอกถึงความเจริญของธรรมชาติ ที่อยู่รอบๆเส้นทางนั้ืน  ที่ทอดยาวไป

       จนมาถึงช่วงปิดเทอมใหญ่ประมาณ ป.4  ป.5 ไม่แน่ใจเหมือนกันได้  ผมได้มีโอกาสรับบทเป็น "คนเผาถ่าน" ซึ่งมีสมาชิกคือตา ป้า น้องชาย และผมเอง ทุกๆเช้าหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ตาจะนำขบวนแบกขวานแบกเลื่อยเข้าป่า ป่าที่เรียนว่า "ป่าเก้า" หรือนาป่าเก้า เพื่อไปเผาถ่าน  ตาจะห่อไปเฉพาะข้าวกับปลาแดก(ปลาร้า)และพริกป่น ส่วนกับข้าวไปหาเอาข้างหน้า สิ่งที่ไปทำคือตัดต้นไม้ลงเตา ไม้ที่ตัดก็จะเป็นไม้ที่สร้างบ้านไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ไม้ขาว ไม้แสนคำ ไม้เหมือ ไม้ล้านเลือด ไม้ติ้ว (เป็นชื่อพื้นถิ่น) ตาจะใช้ไม้อย่างคุ้มค่ามาก ใช้ตั้งแต่โคนจนปลาย นอกจากใบแล้วตาเอาลงเตาหมด 

       อาหารเที่ยงที่หาได้ก็มีหลายอย่างแล้วแต่วัน มีจิ้งหรีดบ้าน ยาหมาน้อยบ้าง กิ้งก่าบ้าง ปลาบ้าง ผักต่างๆบ้าง เห็ดบ้าง เป็นอาหารที่น้อยแต่อร่อยสุดๆ  ยิ่งวันไหนฝนตกนะ สนุกสุดๆเพราะจะได้หลบฝนที่เพิงมุงเตาถ่าน ที่หลบได้บ้างไม่ได้บ้าง มีความสุขมากครับ ตาของผมเป็นนักฟิสิกส์มือเยี่ยมเลยครับ การยกไม้ของตาใช้แรงน้อยมาก ตารู้จักวิธีผ่อนแรงได้เป็นอย่างดี การได้ทำงานพวกนี้ทำให้ผมได้เปรียบเด็กในเมือง เพราะเขาไม่ได้มีโอกาสที่จะทำอย่านี่ เรียนไปบางทีก็นึกภาพไม่ออก แต่ผมแค่มองก็ทะลุหมดแล้ว ก็เพราะทำมาหมดแล้ว ประสาอะไรกับทฤษฎีง่ายๆ สบายมาก ไม่อยากโม้เลยครับ แต่ภูมิใจที่เกิดกับป่า 

        การเป็น "คนเผาถ่าน" ครั้งนี้ทำให้ผมรักป่ามากยิ่งขึ้น แต่แล้วพ่อผมก็ได้มีโครงการทำไร่ที่ "ป่าเก้า" แห่งนี้ ผมปวดใจมากเมื่อเห็นต้นไม้น้อยใหญ่ถูกโค่นลงเพื่อ ทำไร่ ปลูกพืชเศรษฐกิจแทน มันช่างเป็นการกระทำที่ทำรายจิตใจมาก แต่พ่อไม่รู้หรอกว่าผมคิดอย่างนั้น  แต่พ่อก็ไม่ได้ทำจนหมดทำแค่นิดเดียวและดูเหมือนว่าพ่อก็จะเริ่มมีความคิดเหมือนผมแล้ว...  

        พอผมโตขึ้นสิ่งต่างที่ผ่านเข้ามาได้สอนให้ผมรู้ว่า การที่อยู่กับป่าแล้วไม่ใช้ประโยชน์จากป่าไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ควรจะเป็นคือใช้อย่างคุ้มค่าและรู้คุณค่าของป่า ผมไม่ได้อยากเป็นนักอนุรักษ์อะไรหรอกครับ ก็แค่อยากแบ่งปันประสบการณ์ดีๆเท่านันเอง เหมือนกับที่พ่อผมพูดอยู่เสมอ เมื่อได้ยินเรื่องเกียวกับการอนุรักษป่า ว่า "พ่อขออยู่กับธรรมชาติอย่างคนธรรมดาดีกว่าลูกเอ้ย"

คำสำคัญ (Tags): #mang
หมายเลขบันทึก: 499717เขียนเมื่อ 23 สิงหาคม 2012 06:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 ตุลาคม 2012 08:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

เกริ่นๆไว้ก่อนเดียวมาเล่าสู่ฟัง

เกิดริมป่า ใกล้ธรรมชาติ ดีออกนะคะ

ขอบคุณค่ะ

ขอขอบคุณ คุณ" Somsri"กับคุณ"โสภณ เปียสนิท."ที่มาให้กำลังใจนะครับ ยังไม่ได้เริ่มเลย ขอบคุณล่วงหน้าครับ

อยู่กับธรรมชาติมีความสุขที่สุดแล้วครับ

silawat

www.kinteawmuangthai.com

เกิดริมป่าใกล้ธรรมชาติดีนะครับ ไม่มีมลพิษเหมือนอยู่ในเมือง ในเมืองมีมลพิษมากมายไม่ว่าจะเป็นควันเสียจากรถยนต์ อากาศไม่บริสุทธิ์ทำให้สุขภาพเราไม่แข็งแรงเจ็บป่วยได้ง่าย ต่างจากอยู่ริมป่ามากเลย

เด็ก(บ้าน)นอกอย่างเรา มีแต่คนหน้าตาดีๆเนอะ..น้องนินจา^

ขอบคุณทุกๆกำลังใจนะครับ "พี่โจ"ผมว่าน่าจะใช่ครับ

ขอบครับ"พี่ฝน" รักและรักษ์จริงๆครับ ขอบคุณมากครับ

สมัยเด็กๆ ผมก็เคยเป็นเด็กเผาถ่านมาก่อนนะครับ ที่อำเภอขุนหาญ ศรีสะเกษ

แต่พอโตขึ้น ความคิดก็เปลี่ยนแปลงไป จนปัจจุบันได้กลายมาเป็นนักอนุรักษ์ป่าอย่างเต็มตัวเลย

ประสบการณ์จะช่วยสอนให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจสิ่งต่างๆ ดีขึ้นนะครับ

  • เขียนเรื่องเล่าได้ดีมาก คิดถึงตอนอาจารย์เป็นเด็ก แต่มีปัญหาสะกดการันต์
  • อาจารย์ประคบประหงมเถาหมาน้อยที่อุตส่าห์ให้ตาเล (จากไปแล้ว) ไปหามาให้ปลูก แต่คนตัดหญ้าทีไร ก็จะตัดเถาหมาน้อยทิ้งทุกครั้ง
  • เดี๋ยวอาจารย์ก็จะได้ไปใช้ชีวิตในชนบทที่ชื่นชอบ
  • ยังมีปัญหาสะกดการันต์...ผู้เขียนเกิดที่ โรงพยาบาล อ.ชานุมา...ช่างทำโบส (โบสถ์)...ครอด (คลอด)...  เพาระว่า...เมื่อได้ยินเรื่องเกียวกับการอนุรักษป่า ว่า "พ่อขออยู่กับธรรมชาติอย่างคนธรรมดาดีกว่าลูกเอ้ย (เอ๊ย)"
  • ประเมิน 17/20
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท