รุไบยาต โอมาร์ คัยยัม รจนา สุริยฉัตร ชัยมงคล แปล


เออสิ, มาอยู่ใยในโลกกว้าง เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย

 

 

โอมาร์ คัยยัม รจนา สุริยฉัตร ชัยมงคล แปล

1 I
AWAKE! For Morning in the Bowl of Night
Has flung the Stone that puts the Stars to Flight:
And Lo ! the Hunter of the East has caught
The Sultan's Turret in a Noose of Light.
ตื่นเถิด, อรุณบรรเจิดในห้วงแห่งนิศา
ได้เหวี่ยงหินเดือนดาวพรายให้ลิบลา
จรดลจากห้วงฟ้า เลยไกล
พรานบูรพ์
ผู้กลืนชีพสิ้นสูญ, ทุกสมัย
โรยมาแล้วบ่วงแสงอันแววไว
คล้องไว้ซึ่งปราสาทราชันย์
2 II
Dreaming when Dawn's Left Hand was in the Sky
I heard a Voice within the Tavern cry,
"Awake, my Little ones, and fill the Cup
Before Life's Liquor in its Cup be dry."
หัตถ์ซ้ายแห่งอุษา  ทาบบนภาเมื่อข้าฝัน
เสียงหนึ่งกังวาลพลัน จากโรงเตี๊ยมแว่วมายิน
"ตื่นๆ! ตื่น ! ผู้เยาว์เอ๋ย หยิบมาเลยเมรัยริน
ดื่มเมรัยแห่งชีวิต ก่อนเหือดถ้วยระเหยไกล"
3 III
And, as the Cock crew, those who stood before
The Tavern shouted -'' Open then the Door!
You know how little while we have to stay,
And, once departed, may return no more."
หน้าโรงเหล้า
ไก่ขันเคล้าเสียงสำรวลลั่น
“เปิดร้าน! เวลามีไม่นานครัน
เมื่อจากกันแล้วอาจไม่หวนคืน "
4 IV
Now the New Year reviving old Desires,
The thoughtful Soul to Solitude retires,
Where the WHITE HAND OF MOSES on the Bough
Puts out, and Jesus from the Ground suspires.
เออสิ,ปีใหม่กลับมาฟื้นฝันเก่า
วิญญาณสันโดษเนานิ่ง กลับหวนฝัน
หัตถ์เศวตโมเสสบานแล้วโรยพลัน
เยซูนั้นถอนใจจากเนื้อดิน
5 V
Iram indeed is gone with all its Rose,
And Jamshyd's Sev'n-ring'd Cup where no one knows;
But still the Vine her ancient Ruby yields,
And still a Garden by the Water blows.
 
โอ้ อิรัมมหา-                         นคราเลอสวรรค์
ดุจวิมารก็กลกัน                        ยังล่มลับมลายไป
ไหนเล่าเหยือกเจ็ดหู                     จักชิมผู้กระเดื่องไกล
เรืองเดชสักปานใด                       ก็มิพ้นธุลีดิน
ยืนยงคือประกาย                          ทับทิมฉายเมรัยริน
และสวนขวัญชวนถวิน                    ริมกระแสธารกระซิบ

6 VI

And David's Lips are lockt ; but in divine
High piping Pehlevi, with " Wine ! Wine ! Wine!
Red Wine ! " - the Nightingale cries to the Rose
That yellow Cheek of her's to incarnadine

แม้เดวิดปิดโอษฐ์สนิทนิ่ง
เสียงอ้อยอิ่งยังกังวานผสานฝัน
คือลำนำไรติงเกลเพรียกรำพัน
ดั่งภาษาสวรรค์ แห่งเปเลวี
"องุ่น! องุ่น! เหล้าองุ่นแดงฉาย"
นกทักทายช่อกุหลาบสลดสี
แก้มซีดจางของบุปผาดอกนี้
ก็วาบแววมณีฉานบานพรายพราว

7 VII

Come, fill the Cup, and in the Fire of Spring
The Winter Garment of Repentance fling:
The Bird of Time has but a little way
To fly - and Lo! the Bird is on the Wing.

มาสิ, รินเมรัยให้ปริ่มถ้วย
ท่ามกลางเพลิงอร่ามสวยแห่งคิมหันต์
เถิดสลัดพัสตราภรณ์เหมันต์
ที่สวมแล้วอัดอั้น, เศร้า, เสียดาย

วิหคแห่งเวลา
ถลาวูบก็ลับหาย
ดูสิ! มันขยับกาย
จะว่ายฟ้าไปลิบแล้ว

8 VIII

And look - a thousand Blossoms with the Day
Woke - and a thousand scatter'd into Clay:
And this first Summer Month that brings the Rose
Shall take Jamshyd and Kaikobad away.

เห็นไหม,หมื่นดอกไม้ บานไสวรับทิวา
แต่แล้วก็โรยรา ร่วงสลายกลายเป็นดิน
แล้วคิมหันต์...
ก็เวียนผันพากุหลาบกำซาบกลิ่น
มาเบ่งบานหวานวาบอาบชีวิน
เพื่อหวนพาทุกสิ่งสิ้นสูญมลาย


 
กษัตริย์ไกโกบาดกล้า                    จักรพรรดิจัมชิดกลาย

ผยองมาแล้วบัลหาย                        เป็นเถ้าแทบพสุธา
 
***Note: ไกโกบาด  กษัตริย์นักรบในตำนานเปอร์เชียโบราณ

9 IX
But come with old Khayyam, and leave the Lot
Of Kaikobad and Kaikhosru forgot:
Let Rustum lay about him as he will,
Or Hatim Tai cry Supper - heed them not.

ไปด้วยกันในถิ่นแถวแนวพฤกษา
ที่คั่นทรายร้อนกล้าจากดินอร่าม
แดนซึ่งกษัตริ์ย์หรือทาสล้วนไร้นาม
มาห์มุดผู้น่าคร้าม, โอ้-น่าเวทนา


         10X

With me along some Strip of Herbage strown
That just divides the desert from the sown,
Where name of Slave and Sultan scarce is known,
And pity Sultan Mahmud on his Throne.
ไปด้วยกันในถิ่นแถวแนวพฤกษา
ที่คั่นทรายร้อนกล้าจากดินอร่าม
แดนซึ่งกษัตริ์ย์หรือทาสล้วนไร้นาม
มาห์มุดผู้น่าคร้าม, โอ้-น่าเวทนา


 

11 XI
Here with a Loaf of Bread beneath the Bough,
A Flask of Wine, a Book of Verse - and Thou
Beside me singing in the Wilderness -
And Wilderness is Paradise enow.


โอ้กระยาเคล้ากับเหล้าองุ่นหอม
ผสานเพลงเธอกล่อมฝันอันอ่อนหวาน
ใต้เงาไม้เอนกายนอนอ่านกลอนกานท์
พนาวันกันดารกลายเป็นแดนฟ้า


         12 XII
"How sweet is mortal Sovranty! " - think some:
Others - "How blest the Paradise to come! "
Ah, take the Cash in hand and waive the Rest;
Oh, the brave Music of a distant Drum!
 
“อะหา! โอชาล้ำ                   สิอำนาจอันยิ่งใหญ่
เหนือเหล่ามรรตัย                  ผยองเดชในแดนดิน”
“ฤาสุขคือกุศล                     ที่ดาลดลเมื่อชีพสิ้น
ให้ลอยพ้นธรณิน                    ไปเสพทิพย์เสวยฟ้า
โอ้ปิยสหาย                           ที่แพราวพรายทรงคุณค่า
คือทุนแห่งเวลา                       ชั่วขณะที่หายใจ
อย่าเลย,อย่าฟุ้งฝัน                     จะฟาดฟันเอากำไร
สดับสิ!กระหึ่มไกล                    สัญญาณกลองแว่วมาแล้ว”

                    
 13 XIII
Look to the Rose that blows about us---"Lo,
"Laughing," she says, "into the World I blow:
"At once the silken Tassel of my Purse
"Tear, and its Treasure on the Garden throw."

กุหลาบในสวนขวัญ
เปล่งจำนรรค์ทักทายว่า:
"ดูก่อนภารดา!
ข้าบานในเสียงกำสรวล
แต่พลันที่กลีบแก้ว
ดุจเงินแพรวสุดสงวน
โรยกลิ่นสิ้นรัญจวน
เงินก็เกลื่อนกระจายดิน


 
14 XIV
The Worldly Hope men set their Hearts upon
Turns Ashes---or it prospers; and anon,
Like Snow upon the Desert's dusty Face
Lighting a little Hour or two---is gone.


ฝันโลกย์เล่ห์โลกลวงสลายฝัน
หรืออาจบันดาลดลดังใจหมาย
แต่ก็เป็นเช่นหิมะบนรอยทราย
แพรวพรายแล้วลับไปไม่เหลือรอย


15 XV

And those who husbanded the Golden Grain,
And those who flung it to the Winds like Rain,
Alike to no such aureate Earth are turn'd
As, buried once, Men want dug up again.

โอ้นรชน,
บ้างเปรอปรนตนด้วยทองล้ำค่า
บ้างหว่านไปไม่ไยดีต่อเงินตรา
แต่เมื่อดินกลบหน้าล้วนอยากหวนคืน

16 XVI
Think, in this batter'd Caravanserai
Whose Doorways are alternate Night and Day,
How Sultan after Sultan with his Pomp
Abode his Hour or two, and went his way.

โรงพักคาราวาน
ประตูผ่านเวียนคืนวัน
มหาราชทยอยกัน
เล่นละครแล้วลาโรง

17 XVII
They say the Lion and the Lizard keep
The Courts where Jamshyd gloried and drank deep:
And Bahram, that great Hunter - the Wild Ass
Stamps o'er his Head, and lie lies fast asleep.

เสือสิงห์กิ้งก่าไพรสิงสู่ในวังจัมชิด
แม้เรืองเดชไปทุกทิศ ก์มิพ้นมรณา
บาหรามกษัตริย์ฉกาจ มาถึงฆาตเพราะลาป่า
ทิ้งไปไอศวรรยา
ลาลับหลับไปนิรันดร์

18 XVIII
I sometimes think that never blows so red
The Rose as where sonic buried Caesar bled;
That every Hyacinth the Garden wears
Dropt in its Lap from some once lovely Head.

เออ,กุหลาบใดฤาจักแดงฉายฉาน
เยี่ยงบานบนหลุมศพกษัตริย์กล้า
ไฮยาซินธ์ สะพรั่งพราวพร่างพนา
อาจงอกมาจากซากเศียรโฉมสราญ

 19XIX
And this delightful Herb whose tender Green
Fledges the River's Lip on which we lean -
Ah, lean upon it lightly! for who knows
From what once lovely Lip it springs unseen!

โอ้ตฤณชาติชอุ่มเขียว
ประดับเรียวริมฝีปากชลาศัย
เอนกายพิง,เออแผ่วหน่อยนะกลอยใจ
ระบัดใบอาจงอกจากซากโอษฐ์งาม

20 XX
Ah, my Beloved, fill the Cup that clears
TO-DAY of past Regrets and future Fears -
To-morrow ? - Why, To-morrow I may be
Myself with Yesterday's Sev'n Thousand Years.

สิที่รัก,เติมเมรัยให้ปริ่มถ้วย
โมงยามจักสดสวย ปริ่มสุขสันต์
มลายเหงา เศร้า สะท้าน แห่งวารวัน
ไยดีกระไรกัน กับพรุ่งนี้

 21 XXI
Lo! some we loved, the loveliest and best
That Time and Fate of all their Vintage prest,
Have drunk their Cup a Round or two before,
And one by one crept silently to Rest.

ดูก่อน,สิเคยมี                    นรชนที่ยิ่งใหญ่
บุญกรรมบันดาลไป                    ให้เสพสุขเทียมเทวัญ
เสพแล้วก็เสพลับ                       ชีพระยับกลับเป็นฝัน
ต่างค่อยทยอยกัน                           ล่วงลาแล้วล้วยลืมเลือน

22 XXII
And we, that now make merry in the Room
They left, and Summer dresses in new Bloom,
Ourselves rnust we beneath the Couch of Earth
Descend, ourselves to make a Couch - for whom?

 
สรวลสราญในห้องเก่า            ผู้เคยเนาล้วนลาลับ
ถึงคราว,จะเวียนกลับ              - เป็นดินกลบอสุภใคร
 
23 XXIII

Ah, make the most of what we yet may spend,
Before we too into the Dust descend;
Dust into Dust, and under Dust, to lie,
Sans Wine, sans Song, sans Singer, and - sans End !

เสพเถิดทิพย์สุนทรีย์แห่งชีวิต
ก่อนชีพปลิดปลิวปลงลงเป็นฝุ่น
ไร้ลำนำ,เสียงขับขานหวานละมุน
ลืมเลือนรสเหล้าองุ่นไปนิรันดร์


24 XXIV
Alike for those who for TO-DAY prepare,
And those that after a TO-MORROW stare,
A Muezzin from the Tower of Darkness cries
"Fools ! your Reward is neither Here nor There!'

เฉกกันนรชน                       ผู้เตรียมตนขมีขมัน
หรือฝากหวังวารวัน              ในสีทองของพรุ่งนี้
จากหออนธการ                    เสียงทูตขานบอกนาที
ร้อง"เขลา ! สุขสุนทรีย์-         หาได้เป็นเช่นที่คิด"

    25 XXV
Why, all the Saints and Sages who discuss'd
Of the Two Worlds so learnedly, are thrust
Like foolish Prophets forth; their Words to Scorn
Are scatter'd, and their Mouths are stopt with Dust.

พหูสูตกับปวงปราชญ์ถกกันเปล่า
ศาสดารึก็เขลา,ไม่ประจักษ์
ประดิษฐ์ถ้อยร้อยวากย์ภาคภูมินัก
แล้วชะงักปากอั้นเมื่ออมดิน

   26 XXVI
 Oh, come with old Khayyam, and leave the Wise
To talk; one thing is certain, that Life flies;
One thing is certain, and the Rest is Lies;
The Flower that once has blown for ever dies.

ไปกันเถิดปล่อยปราชญ์ให้เปลืองปาก
สัจจะคือเวลาพรากชีวิตผัน
หลงไปกับมายาทำไมกัน
บุปผชาตินั้นเบ่งบานแล้วโรยรา.

27  XXVII
 Myself when young did eagerly frequent
Doctor and Saint, and heard great Argument
About it and about: but evermore
Came out by the same Door as in I went.

อะหา,เมื่อคราเยาว์   ข้าใฝ่เฝ้าในคำสอน
ธีรชนสุนทร และนักบุญเปรื่องปรีชา
แต่ปราชญ์วิวาทถก หยิบเหตุยกมาเถียงท้า
เถียงแล้วก็ลับลา  กลับมาออกทางทวารเดิม

28  XXVIII
 With them the Seed of Wisdom did I sow,
And with my own hand labour'd it to grow:
And this was all the Harvest that I reap'd -
"I came like Water, and like Wind I go."

 
เมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา   -เมธีข้าเพียรเพาะหว่าน
ลงแรงมายาวนาน       หวังเสพผลสราญใจ
แต่ครั้นเมื่อเก็บเกี่ยว      มีสิ่งเดียวที่ข้าได้คือ,
"มาเฉกชลาลัย-          แล้วจากไปดังสายลม"
 

29  XXIX

 Into this Universe, and why not knowing,
Nor whence, like Water willy-nilly flowing:
And out of it, as Wind along the Waste,
I know not whither, willy-nilly blowing.

เออสิ, มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย

30 XXX
 What, without asking, hither hurried whence?
And, without asking, whither hurried hence !
Another and another Cup to drown
The Memory of this Impertinence !

ฉงนไยจรดลจากหนไหน
หรือพรากสู่แห่งใดไยต้องฉงน
สิ,รินมาเลยเมรัยองุ่นปรน
ล้างกมลกำเริบกลุ้มให้ชุ่มทรวง

31 XXXI

 Up from Earth's Centre through the Seventh Gate
I rose, and on the Throne of Saturn sate,
And many Knots unravel'd by the Road;
But not the Knot of Human Death and Fate.


 
ผุดจากหว่างพิภพ                เถลิงจบแดนสวรรค์
ชั้นเจ็ดบัลลังก์อัน                 แซเทิร์นสถิตเป็นจอมฟ้า
เจนจบสรรพศาสตร์                แต่ประหลาดหนึ่งปริศนา
กรรมมนุษย์กะมรณา                 สุดจะแจ้งกระจ่างจินต์
 
32 XXXII
 There was a Door to which I found no Key:
There was a Veil past which I could not see:
Some little Talk awhile of ME and THEE
There seem'd - and then no more of THEE and ME.

มีอยู่ประตูไร้ประแจไข
เหมือนแฝงโลกย์พรางไว้ในภูษา
ถกกันเปล่าเราท่านจำนรรจา
วับวับก็ลับลาไม่เหลือเงา

33  XXXIII
Then to the rolling Heav'n itself I cried, Asking,
"What Lamp had Destiny to guide"
Her little Children stumbling in the Dark?"
And--"A blind Understanding!" Heav'n replied.
 
มองฟ้าแล้วถามฟ้า                    “โอ้ ชะตากรรมลิขิต
โคมอะไรนำชีวิต                        นรชนไม่รู้ทาง?”
กระหึ่มเสียงสวรรค์                    เปล่งไขปัญหากระจ่าง
“โคมมีไม่อำพราง                      คืออย่าเขลาทุรนคิด”

34 XXXIV
Then to this earthen Bowl did I adjourn
My Lip the secret Well of Life to learn:
And Lip to Lip it murmur'd - "While you live
Drink ! - for once dead you never shall return."

ผจงจิบเมรัยจากจอกดิน
โอ้หยาดอมฤตรินแห่งชีพฝัน
ปากแนบปากจากจอกดินรำพัน
“ดื่มเถิด!-เพราะจากกันแล้วไม่หวนคืน”

35 XXXV
I think the Vessel, that with fugitive
Articulation answer'd, once did live,
And merry-make; and the cold Lip I kiss'd
How many Kisses might it take - and give !

หรือว่าเหยือกเหล้านี้เคยมีชนม์
สราญกมลหวานไหวในแหล่งหล้า
ปากเหยือกข้าจุมพิตเห็นเย็นชา
กี่ครั้งคราเคยจูบตอบปลอบปากใคร

36XXXVI
For in the Market-place, one Dusk of Day,
I watch'd the Potter thumping his wet Clay:
And with its all obliterated Tongue
It murmur'd - "Gently, Brother, gently, pray!"

ย่านตลาดย่ำสายัณห์
ช่างหม้อปั้นหม้อทุบดินเหนียว
ได้สดับแปลกจริงเจียว
ดินร้อง"แผ่ว! แผ่ว ภราดา"


37  XXXVII
Ah, fill the Cup: - what boots it to repeat
How Time is slipping underneath our Feet:
Unborn TO-M0RROW, and dead YESTERDAY,
Why fret about them if TO-DAY be sweet !

เหล้าปริ่มถ้วยก็ปริ่มฝันแล้วสหาย
เวลาผายผันล่วงเร็วเพียงไหน
วันวานกับพรุ่งนี้พะวงไย
หากชื่นหวานสราญใจในวันนี้

 
38  XXXVIII
One Moment in Annihilation's Waste,
One Moment, of the Well of Life to taste -
The Stars are setting and the Caravan
Starts for the Dawn of Nothing - Oh, make haste !

วูบหนึ่งก็จะมอดมลายเปล่า
วูบหนึ่งเราเคล้าหยาดชีวินหวาน
พราวดาวเดือนแล้วเคลื่อนคาราวาน
เร่งสราญ! ก่อนถึงเช้าอันเปล่าดาย

39  XXXIX
How long, how long, in infinite Pursuit
Of This and That endeavour and dispute?
Better be merry with the fruitful Grape
Than sadden after none, or bitter, Fruit.

นานยิ่งนัก, มิรู้พัก มิรู้สิ้น
ต่างทุ่มจินถกวจีตีปริศนา
สิกระไรไม่ลิ้มองุ่นฉ่ำโอชา
ก่อนจะช้าชวดชมช้ำชีวิน

40  XL
You know, my Friends, how long since in my House
For a new Marriage I did make Carouse:
Divorced old barren Reason from my Bed,
And took the Daughter of the Vine to Spouse.

เพื่อนเอ๋ยบ้านข้าสนุกมาเนานาน
นับแต่สราญสมรสใหม่เสริมฝัน
ขับเหตุผลแล้งไร้จากใจพลัน
แล้วหวานวันกับธิดาองุ่นงาม

 41  XLI

For "Is" and "IS-NOT" though with Rule and Line,
And "UP-AND-DOWN" without, I could define,
I yet in all I only cared to know,
Was never deep in anything but - Wine.

 “เป็น”, “ไม่เป็น” เกณฑ์กฎกำหนดถ้วน
“บน-ล่าง” ล้วนเจนจบจำกัดได้
กระนั้นก็มิเคยหลงพะวงใด
เพียงดื่มด่ำเมรัยองุ่นริน

 42  XLII

And lately, by the Tavern Door agape,
Came stealing through the Dusk an Angel Shape
Bearing a Vessel on his Shoulder; and
He bid me taste of it; and 'twas - the Grape!.

สงัดรัตติกาลหน้าทวารโรงเหล้า
มีรูปหนึ่งลอยเข้ามาน่าฉงน
เป็นเทวทูตเทินเหยือกดูชอบกล
แล้วรินปรนปากข้า-อา! องุ่นทิพ

43  XLIII

The Grape that can with Logic absolute
The Two-and-Seventy jarring Sects confute:
The subtle Alchemist that in a Trice
Life's leaden Metal into Gold transmutes.

องุ่นหอมกล่อมตรรกให้บอดใบ้
นิ่งอั้นไปทั้งเจ็ดสิบสองศาสนา
เป็นนักแปรธาตุชีวิลิขิตมา
ชั่วพริบตาตะกั่วกลายเป็นแก้วกาญจน์



 
     44  XLIV
The mighty Mahmud, the victorious Lord,
That all the misbelieving and black Horde
Of Fears and Sorrows that infest the Soul.
Scatters and slays with his enchanted Sword.

โอ้มาห์มุดผู้ทรงฤทธิ์วิชิตราช
มลายมิจฉาอริปราศระลัยหาย
คือกาฬชนแห่งความกลัว, เศร้า,เปล่าดาย
กิเลสร้ายศิโรราบด้วยดาบมนตร์

45  XLV
But leave the Wise to wrangle, and with me
The Quarrel of the Universe let be:
And, in some corner of the Hubbub coucht,
Make Game of that which makes as much of Thee

ปล่อยปราชญ์วิวาทไปเถิดสหาย
ให้วุ่นวายกับจักรวาลปริศนา
เราหามุมสงบเย็นเร้นกายา
แล้วล้อเล่นกับฟ้าบ้างให้คุ้มกัน

46 XLVI
For in and out, above, about, below,
'Tis nothing but a Magic Shadow-show,
Play'd in a Box whose Candle is the Sun,
Round which we Phantom Figures come and go.

สรรพสิ่งในโลกใช่อะไรอื่น
คือโคกมล วนวันคืนไม่รู้สิ้น
แสงเทียนเฉกรวีฉายประกายริน
มีเราท่านว่อนบินวงเวียนกรรม

  47 XLVII
And if the Wine you drink, the Lip you press,
End in the Nothing all Things end in - Yes -
Then fancy while Thou art, Thou art but what
Thou shalt be - Nothing - Thou shalt not be less.

หากซ่านรสเมรัยเปล่าปากเคยเคล้าก็ห่างหาย
สุดสิ้นอย่างว่างวายเฉกสรรพสิ่งซึ่งเป็นมา
ฉะนี้, สราญเถิดชีวิตเพริดด้วยมายา
วันนี้ล่วง   พรุ่งนี้ลาหาอะไรอยู่จีรัง

48 XLVIII
While the Rose blows along the River Brink,
With old Khayyam the Ruby Vintage drink:
And when the Angel with his darker Draught
Draws up to Thee - take that, and do not shrink.

กุหลาบสะพรั่งฝั่งชลงามอร่ามสวย
มาชูถ้วยเมรัยเริงเถิดสหาย
และเมื่อถึงวาระพระกาฬกราย
เหล้าแห่งความตายจงดื่มโดยปลื้มเปรม

      49 XLIX
'Tis all a Chequer-board of Nights and Days
Where Destiny with Men for Pieces plays:
Hither and thither moves, and mates, and slays,
And one by one back in the Closet lays.

โลกหรือคือกระดานหมากรุก
วันคืนคลุกเคล้าเวียนคอยเปลี่ยนผัน
กรรมมนุษย์กำหนดตัวต่างต่างกัน
พัลวัน ชนะ, แพ้ แล้วพ้นกระดาน

50 L
The Ball no Question makes of Ayes and Noes,
But Right or Left as strikes the Player goes;
And He that toss'd Thee down into the Field,
 He knows about it all - HE knows - HE knows
เฉกลูกคลีบอดใบ้ไร้สำนึก
สุดแต่คนเล่นคึกหวดกระหน่ำ
หากผู้โยนมนุษย์ลงสนามกรรม
ช่างล่วงรู้ลึกล้ำทุกรอยเดิน

51 LI
The Moving Finger writes; and, having writ,
Moves on: nor all thy Piety nor Wit
Shall lure it back to cancel half a Line,
Nor all thy Tears wash out a Word of it.

ดัชนีกรรมลิขิตชีวิตแล้ว
แม้ทรงภูมิแกล้วเก่งเคร่งศาสนา
ก็มิอาจแปลงลักษณ์อักษรา
แม้หลั่งหยาดน้ำตาลบก็ไม่เลือน...



52 LII
And that inverted Bowl we call The Sky,
Where under crawling coopt we live and die,
Lift not thy hands to It for help - for It
Rolls impotently on as Thou or I.
 
อ่างคว่ำคือโค้งฟ้า
เกิดตายตะกายเอา
วอนฟ้าหรืออย่าเลย     
เคลื่อนคล้อยไปวันวัน
คว่ำครอบหล้ากะคนเรา   
เร่าทุรนอยู่เช่นนั้น
ฟ้าก็เฉยเฉกเช่นกัน
เหมือนเราท่านนรชน    

53 LIII
With Earth's first Clay They did the Last Man's knead,
And then of the Last Harvest sow'd the Seed:
Yea, the first Morning of Creation wrote
What the Last Dawn of Reckoning shall read.
พระปั้นปวงมนุษย์จากเศษดิน
แล้วหว่านกล้าแห่งชีวินคอยเกี่ยวผล
ใช่, ปฐมอรุณรังสรรค์บันดาลดล
วิบากกรรมนรชนแต่ต้นมือ
 54 LIV
I tell Thee this - When, starting from the Goal,
Over the shoulders of the flaming Foal
Of Heav'n Parwin and Mushtara they flung,
In my predestin’d Plot of Dust and Soul...

 
สดับสิ,ฤกษ์ข้าเกิดมา               เหนือบ่าม้าเพลิงโชติช่วง
คือดาวฟ้าสองดวง                  มุชตารีกับปาร์วิน
อัสดรคู่ควบขี่                       จักรราศีเวียนไม่สิ้น
กำหนดกรรมกัดกิน                 ชีวินข้าล่วงหน้าแล้ว
 

  55 LV
The Vine had struck a Fiber; which about
If clings my Being - let the Sufi flout;
Of my Base Metal may be filed a Key,
That shall unlock the Door he howls without.

โอ้เมรัยพันธนาชีพข้าไว้
ปล่อยซูฟีให้ฟยามเย้ยไปเถิดหนา
โลหะะเลวอาจแกะเป็นกุญแจมา
ไขทวาราที่ซูฟีเองอับจน

  56 LVI
And this I know: whether the one True Light,
Kindle to Love, or Wrath consume me quite,
One glimpse of It within the Tavern caught
Better than in the Temple lost outright.

เออสิไม่ว่าแสงสัจจะระยับ
จะจุดเพลิงให้รักหรือกราดเกรี้ยว
ในโรงเหล้าขอข้าเห็นเพียงวูบเดียว
ดีกว่านอนห่อเหี่ยวในโบสถ์ทึม

 57 LVII
Oh, Thou, who didst - with Pitfall and with Gin
Beset the Road I was to wander in,
Thou wilt not with Predestination round
Enmesh me, and impute my Fall to Sin?
oh thou; who dist with pitfall and with Gin
Best the Road I was to wander in;
thou wilt not with predestination round
Enmesh me; and impute my Fall to Sin?

"โอ้พระผู้วางแร้ว และหลุมพราง      ไว้รายทางชีวันข้าผันผ่าน
พระคงไม่กำหนดกรรมบันดาล        มาระรานแล้วโทษข้าว่าบาปเอง


58 LVIII
Oh, Thou, who Man of baser Earth didst make,
And who with Eden didst devise the Snake;
For all the Sin where with the Face of Man
Is blacken'd, Man's Forgiveness give - and take!
 
โอ้ท่านผู้วางมนุษย์ด้วยดินต่ำ      แล้วเสกงูผลาญซ้ำในสวนสวรรค์

มวลบาปผิดที่เปื้อนหน้ามนุษย์นั้น     ท่านกับข้าควรผลัดกันขออภัย

 


 59 LIX
KUZA-NAMA
Listen again. One. evening at the Close
Of Ramazan, ere the better Moon arose,
In that old Potter's Shop I stood alone
With the clay Population round in Rows.

กูซะ-นามะ(กุมภะรำพึง)
พึงสดับ ณ ค่ำหนึ่งใกล้ถีงสิ้นรามะซาน
ข้างขึ้นจันทร์ตระการสานแสงส่องข้าเดียวดาย
ในบ้านช่างปั้นหม้อ ภาชนะรอเรียงราย
มีข้าลำพังกาย กับแสงเดือนเป็นเพื่อนยล

60 LX
And, strange to tell, among that Earthen Lot
Some could articulate, while others not
And suddenly one more impatient cried-
Who is the Potter, pray, and who the Pot ?!
 
น่าประหลาดภาชนะดิน              บ้างไม่ยินยลใดใด
แต่บ้างเหมือนมีใจ                   ช่างสงสัยใฝ่เจรจา
เหยือกหนึ่งไม่อดกลั้น                ก็ผลุนผลันโผล่งขึ้นว่า
"ใครกันปั้นเรามา-                   แล้วใครกันแน่เป็นหม้อดิน"
 61 LXI
Then said another - "Surely not in vain
My Substance from the common Earth was ta'en,
That He who subtly wrought me into Shape
Should stamp me back to common Earth again."

อีกใบหนึ่งรำพึงว่า
เขาใช่ปั้นข้ามาเปล่า
ดินประดิษฐ์มาเป็นเรา
เขาอาจทุบคืนเป็นดิน"

 62 LXII
Another said - "Why ne'er a peevish Boy,
Would break the Bowl from which he drank in Joy;
Shall He that made the Vessel in pure Love
And Fancy, in an after Rage destroy!”
 
ใบหนึ่งว่า"แม้เด็กซน-                         เมื่อชื่นกมลดื่มจนสิ้น
ยังไม่คิดทุบชามดิน                            ให้มลายไปตามกัน
ไหนเลยผู้สร้างเรา                           ด้วยรักเคล้าระคนฝัน
สร้างเสร็จแล้ว จักพลัน                       พิโรทเกรี้ยวกำจัดทิ้ง
 63 LXIII
None answer'd this ; but after Silence spake
A Vessel of a more ungainly Make:
"They sneer at me for leaning all awry
What! did the Hand then of the Potter shake ?"

เงียบงันชั่วขณะ  หนึ่งภาชนะที่บิดเบี้ยว
ก็บ่นขึ้นคนเดียว ทั้งตัดพ้อและ รำพัน
"พวกเขาดูแคลนข้า เพราะกายาช่างชวนขัน
เหตุไรเป็นเช่นนั้น หรือมือปั้นสั่นเกินไป"
64 LXIV
Said one - "Folks of a surly Tapster tell,
And daub his Visage with the Smoke of Hell;
They talk of some strict Testing of us - Pish !
He's a Good Fellow, and 'twill all be well."
 
อีกใบหนึ่งรำพึง           "โอ้คนขายเหล้า
โทโสร้ายมิเบา                      ใครใครว่าเขาบาปมหันต์
และว่าเราต้องผ่า                  การทดสอบสุดอดกลั้น
เฮอะ!เขาดีก็แล้วกัน            จำแค่นั้นทุกอย่างด

65 LXV
Then said another with a long-drawn Sigh,
"My Clay with long oblivion is gone dry:
But, fill me with the old familiar juice,
Methinks I might recover by-and-bye !"

 
เหยือกหนึ่งถอนใจกล่าว
“โอ้ยาวนานข้าแห้งโหย
หากน้ำอมฤตโรย 
รินปริ่มกายอีกคงเปรม”

66 LXVI
So while the Vessels one by one were speaking,
One spied the little Crescent all were seeking:
And then they jogged each other, "Brother ! Brother !
Hark to the Porter's Shoulder-knot a-creaking !"
 

ขณะเหล่าภาชนะดิน            เหมือนมีวิญญาณรำพัน    
ใบหนึ่งเหลือบเห็นจันทร์        ส่องเสี้ยวเดียวอยู่กลางฟ้า  
ทุกใบยามนี้            ต่างยินดีแล้วร้องว่า
ได้ยินไหมภราดา               เสียงใครแบกเหล้ามาแล้ว!"

 
67 LXVII
Ah, with the Grape my fading Life provide,
And wash my Body whence the Life has died,
And in a Windingsheet of Vine-leaf wrapt,
So bury me by some sweet Garden-side.

องุ่นหอมกล่อมชีวาข้าล่วงลับ
ณ จุดดับล้างร่างข้าให้หมดจด
ใบองุ่นต่างผ้าพันอย่ารันทด
แล้วกำหนดหนึ่งวนาฝังข้าไว้


68 LXVIII
That ev'n my buried Ashes such a Snare
Of Perfume shall fling up into the Air,
As not a True Believer passing by
But shall be overtaken unaware.

แม้เถ้าข้าสลายกลายเป็นบ่วงหอม
ทอดโรยออมอบซึ้งถึงเวหา
ทุกทุกผู้มั่นใจใฝ่ศรัทธา
หากผ่านมาจะติดบ่วงไม่รู้ตัว

69 LXIX
Indeed the Idols I have loved so long
Have done my Credit in Men's Eye much wrong;
Have drown'd my Honour in a shallow Cup,
And sold my Reputation for a Song.

จริงสิ, เพราะสิ่งที่ข้าใหลหลง
คนทั้งหลายคงเห็นว่าข้าเหลวไหล
เกียรตินั้นหรือโยนมันลงถ้วยเมรัย
ชื่อเสียงข้าทิ้งไปแลกบทเพลง

70 LXX
Indeed, indeed, Repentance oft before
I swore - but was I sober when I swore ?
And then and then came Spring, and Rose-in-hand
My thread-bare Penitence apieces tore.

หลายคราครั้นสำนึกก็ตั้งสัตย์
แต่สติแจ่มชัดหรือไม่หนอ
เมื่อคิมหันต์หวานวาบกุหลาบคลอ
เวียนพนอก็พาเพริดเตลิดไกล
71.  LXXI
And much as Wine has play'd the Infidel,
And robb'd me of my Robe of Honour - well,
I often wonder what the Vintners buy
One half so precious as the Goods they sell.

เฉกเมรัยเป็นของนอกศาสนา
และปล้นชิงเกียรติข้าสูญสลาย
ข้าก็ฉงนคนขายเหล้าไม่เว้นวาย
เคยซื้อไหม,สิ่งพรายค่ากว่าเมรัย



72.  LXXII
Alas, that Spring should vanish with the Rose
That Youth's sweet-scented Manuscript should close !
The Nightingale that in the Branches sang,
Ah, whence, and whither flown again, who knows !

โอ้กุหลาบโรยลับกับคิมหันต์
 หวานวารวันวัยเยาว์ก็วูบหาย
 นกเพรียกเพลงเพียงฝันพรรณราย
เมื่อวางวายแล้วไปไหนไม่รู้เลย

73.  LXXIII
Ah, Love! Could thou and I with Fate conspire
To grasp this sorry Scheme of Things entire.
Would not we shatter it to bits- and then
Re-mould it nearer to the Heart’s Desire!

โอ้รักกับข้าเองและเพรงกรรม
หากเราทำลายแผนเศร้าแห่งฟ้าได้
ก็จะเหยียบให้มันแหลกมลายไป
แล้วหลอมใหม่ให้รื่นรมย์สมทรวงปอง

74. LXXIV
Ah, Moon of my Delight who know’st no wane,
The Moon of Heav’n is rising once again:
How oft hereafter rising shall she looks
Through this same garden after me-in vain!

เพ็ญจันทร์แห่งปีติข้าไม่ราแสง
เพ็ญโสมแห่งห้วงสวรรค์ก็เวียนฉาย
และคงวนเวียนเช่นนั้นโดยเปล่าดาย
รินประกายอาบสวนขวัญอันข้าเนา

75.  LXXV
And when Thyself with shining Foot shall pass
Among the Guests Star-scatter'd on the Grass,
And in thy joyous Errand reach the Spot
Where I made one - turn down an empty Glass !


 
ท่านจักยุรยาตรบาทแพรวแสง      ผ่านประกายแห่งดาวเยือนระยับหญ้า
โดยเปรมปรีดิ์สู่จุดที่ข้าล่วงมา    ก่อนคว่ำแก้วแล้วลาจากจรดล
    
 
ตะมาบ-ชุด

สุริยฉัตร ชัยมงคล

หมายเลขบันทึก: 499358เขียนเมื่อ 20 สิงหาคม 2012 04:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2012 22:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

37  XXXVII
Ah, fill the Cup: - what boots it to repeat
How Time is slipping underneath our Feet:
Unborn TO-M0RROW, and dead YESTERDAY,
Why fret about them if TO-DAY be sweet !

เหล้าปริ่มถ้วยก็ปริ่มฝันแล้วสหาย
เวลาผายผันล่วงเร็วเพียงไหน
วันวานกับพรุ่งนี้พะวงไย
หากชื่นหวานสราญใจในพรุ่งนี้

ตรงบทที่ ๓๗ นี่ คำว่า 'พรุ่งนี้' ในวรรคสุดท้ายของพากย์ไทย ควรจะเป็น 'วันนี้' หรือเปล่านะครับ เพราะในภาษาอังกฤษก็เป็น TO-DAY และโดยสระสำคัญแล้ว บทนี้ก็กล่าวถึงความเป็นปัจจุบันขณะ การอยู่กับวันนี้ มากกว่าพรุ่งนี้ที่ยังมาไม่ถึง และเมื่อวานนี้ที่ผ่านไปแล้ว ซึ่งหากวรรคสุดท้ายเป็น 'วันนี้' ก็จะได้ใจความสำคัญนี้นะครับ

อ่านรุไบยาตแล้วทำไมถึงนึกถึง ผู้ภิกขาจารประหลาด ของรพินทรนาถ ฐากูร ขึ้นมาเลยก็ไม่รู้นะครับ ในผู้ภิกขาจารประหลาด ท่านรพินทรนาถ ฐากูร นำเสนอภาพให้ตั้งคำถามและคิดใคร่ครวญต่อสิ่งที่มนุษย์ยึดถือ ระหว่างสิ่งที่มีค่าทางวัตถุ กับพลังความศรัทธาและคุณค่าความสูงส่งทางจิตใจ ผ่านการถวายของบูชาพระผู้เป็นเจ้าของเศรษฐี ราชา และผู้คนที่ให้ความสำคัญกับวัตถุ กับเสื้อผ้าขาดสกปรกและเป็นชิ้นสุดท้าย เป็นสิ่งของชิ้นเดียวที่หญิงยากจนคนหนึ่ง ขอมอบบูชาพระผู้เป็นเจ้า แล้วผู้ภิกขาจารประหลาดก็กลับรับเอาผ้าผืนดังกล่าวใส่พานไปมอบถวายพระผู้เป็นเจ้า โดยบอกว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าสิ่งใดที่หาได้ในเมืองนั้น มากยิ่งเสียกว่าทรัพย์สมบัติของราชา มหาเศรษฐี และคหบดีทั้งหลาย 

56 LVI
And this I know: whether the one True Light,
Kindle to Love, or Wrath consume me quite,
One glimpse of It within the Tavern caught
Better than in the Temple lost outright.

เออสิไม่ว่าแสงสัจจะระยับ
จะจุดเพลิงให้รักหรือกราดเกรี้ยว
ในโรงเหล้าขอข้าเห็นเพียงวูบเดียว
ดีกว่านอนห่อเหี่ยวในโบสถ์ทึม

ทำให้นึกถึงวาทะท่านพุทธทาส, หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร รวมทั้งนึกถึงอีกแง่มุมหนึ่งของสังคมปัญญาชนและปราชญ์ชนชั้นนำของกรีกโบราณ ท่านพุทธทาสเคยกล่าวและผมเคยได้อ่านจากที่ไหนก็จำไม่ได้แล้ว ทำนองว่า เวลากราบพระพุทธรูปในโบสถ์นั้น ไม่พบพระพุทธเจ้าหรอก เพราะพระพุทธเจ้านั้นอยู่ในทุ่งนา ไม่ได้อยู่ในโบสถ์ ส่วนวาทะของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากรนั้น ท่านกล่าวว่า 'เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาสิของจริง'  ในสังคมกรีกโบราณนั้น ความล่มสลายอย่างหนึ่งนั้น ก็เนื่องจากปัญญาชนและชนชั้นนำมัวแต่ถกและหมกมุ่นหาปัญญาที่สูงส่งจนห่างไกลเกินไปมากจากความเป็นจริงของผู้คนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม รวมทั้งในความเป็นจริงของชีวิตแล้ว เราอาจต้องการได้เห็นแสงสว่างแห่งสัจจะเพียงสักวูบเดียว หรือได้เข้าถึงความเป็นจริงบนความเป็นปัจจุบันของตนเองได้ทุกคน ซึ่งก็ให้วิธีคิดดีมากเลยนะครับ

66 LXVI
So while the Vessels one by one were speaking,
One spied the little Crescent all were seeking:
And then they jogged each other, "Brother ! Brother !
Hark to the Porter's Shoulder-knot a-creaking !"

ขณะเหล่าภาชนะดิน           เหมือนมีวิญญาณรำพัน    
ใบหนึ่งเหลือบเห็นจันทร์      ส่องเสี้ยวเดียวอยู่กลางฟ้า  
ทุกใบยามนี้                      ต่างยินดีแล้วร้องว่า
ได้ยินไหมภราดา               เสียงใครแบกเหล้ามาแล้ว!"

ผู้คนก็คงเหมือนภาชนะสำหรับบรรจุไวน์และเมรัยที่แตกต่างหลากหลายกันไป แต่ก็ทำมาจากดิน และในที่สุดก็แตกสลายสู่ดิน เสมอกัน ชีวิตก็คงเหมือนไวน์และเมรัย หากเราจะดื่มกินด้วยความสำราญเบิกบานใจเพื่อมีความสุข เข้าถึงคุณค่าและความหมายอันสูงสุดของชีวิตในห้วงชีวิตนี้ เราก็เป็นภาชนะบรรจุไวน์และเมรัยที่เราต้องการ 

ไม่ค่อยได้เห็นใครนำเอางานวรรณกรรมมาแบ่งกันอ่านและคุยกันมากนักนะครับ ขอบคุณครับ นานๆได้อ่านและชมภาพเต็มๆเพลิดเพลินใจเลย

ก้แล้วนะคะ..และขอบคุณที่ชอบค่่ะ ที่เอามาลงเพราะหาอ่านไม่ได้ค่่ะนี่ขอสารภาพกันตามตรงเพราะเจอแต่ภาสอื่น และของคุณแคนสังคีต ซึ่งสั้นกว่านี้ และฉบับนี้ดูเหมือนจะหาซื้อไม่ได้แล้วด้วย เลยเอามาลงให้อ่านกัน ถ้าชอบ ยังมีงานเก่าๆของอีกหลายๆท่าน (ที่เห็นว่ายังไม่มีพิมพ์ใหม่ จะพยายามรวบรวมมาให้อ่านกัน แต่ต้องขออฑัยล่วงหน้าว่ากว่าจะออกมาแต่ละเรื่องอาจจะช้าสักหน่อย คงจะต้องพิมพ์ใหม่ในส่วนที่หาonlineไม่ได้

ไบยาต สำนวนแปล แคน สังคีต

นำมาฝาก   สำหรับมิตรรักนักกลอน

รุไบยาต

         ตื่นขึ้นเถิดเพื่อรับแสงแห่งสูรย์ส่อง     เมื่อดาวล่องเดือนลับไปกลับฝัน

ขับราตรีหนีเตลิดเพื่อเปิดวัน                         เชิญร่วมกันฟังดนตรีแห่งชีวา

        ไปเสียเถิดเจ้าภูตพรายแห่งสายหมอก    ไม่ช้าหรอกเสียงร้านเหล้าเขาเรียกหา

"ประตูเปิดใยพวกเจ้าไม่เข้ามา                         มัวก้มหน้าหดหู่อยู่ทำไม"    

        เมื่อยามตายได้อะไรติดไปบ้าง                เพียงเรือนร่างฝังซากฝากสุสาน

ยังชีพอยู่ดูโลกไปให้สำราญ                             ดอกไม้บานในแก้วเหล้าเราเริงใจ

        ปากของเจ้าสงบนิ่งจริงจริงนะ                    "เพื่อหัวใจชัยชนะ" มะ...เติมใหม่

ดื่มเถิดเพื่อเดิมเถิดเราดื่มเข้าไป                       เฉลิมโชคฉลองชัยได้ทุกวัน

         จำเพื่อลืมดื่มเพื่อเมาเหล้าเพื่อโลก          สุขเพื่อโศกหนาวเพื่อร้อนนอนเพื่อฝัน

ชีวิตนี้มีค่านักควรรักกัน                                       รวมความฝันกับความจริงเป็นสิ่งเดียว

          ไม่ว่าเป็นนครใหญ่ไพศาลสุด                  พระสมุทรพื้นสุธาภูผาเขียว

แต่ละหยดรสเหล้าหลั่งดุจดั่งเกลียว                 จักโน้มเหนี่ยวนำโลกสู่โชคชัย             

           อย่าเชื่อโลกว่าโชคหนุนหรือบุญส่ง      จะเหมือนหงส์หลงเหินมัวเพลินหาว                   เกิดบนดินอย่าถวิลดมกลิ่นดาว                  รักแต่ชาวดินเถิดเกิดจากใจ

        ดื่มเถิดเพื่อนดื่มแด่แม่ยอดรัก            เจ้าของตักและรอยบุ๋มนุ่มเหมือนไหม เจ้าของแขนแอ่นอุ่นละมุนละไม                เจ้าของไฝเม็ดกลมสีชมพู

        ลืมลักยิ้มริมแก้มแก้วเสียแล้วหรือ     นั่นแหละคือสื่อฝันอันสวยหรู อย่าลืมตาของน้องที่จ้องดู                          อย่าลืมหูของพี่ที่คอยฟัง

        จำได้ไหมในวันจันทร์ทรงกลด            ดาวทั้งหมดอันงดงามสิ้นความขลัง มีเดือนเด่นเป็นเอกไร้เมฆบัง                       และเสียงสั่งเซ้าซี้จากพี่ชาย

        สุ้มเสียงสั่งพรรณาว่าชีวิต                   เมื่อครุ่นคิดก็หวนไห้แล้วใจหาย อันบทบาทแต่ละฉากมีมากมาย                ฉากสุดท้ายปิดลงตรงสิ้นลม

        นี่แนะน้องมองพี่ให้ดีเถิด                   ได้กำเนิดมานี้ก็ดีถม ชีวิตเหมือนเดือนทรงกลดกำหนดกลม     ต้องซานซมต่อไปใต้ดวงดาว

        ชีวิตนี้มีสองแพร่งแย้งกันอยู่             หนีหรือสู้คดหรือซื่อร้อนหรือหนาว ไหวหรือนิ่งจริงหรือฝันสั้นหรือยาว            ดำหรือขาวดีหรือเลวเร็วหรือนาน

        แขนทั้งสองของพี่มีเลือดเนื้อ           เจ้าจงเชื่อเถิดว่าพี่กล้าหาญ มันสมองของพี่มีสายพาน                         ที่จะผ่านไปผูกลูกโม่ใจ

        ก่อนจะดื่มอย่าลืมบุญคุณพระแม่    หยดหนึ่งแด่พสุธาที่อาศัย เราก็ดื่มดินก็ดื่มปลื้มกันไป                      กตัญญูอยู่ในธรณี

        เพราะว่าพื้นพสุธาปกาศิต                  ให้ชีวิตแจ่มจรัสรัศมี แผ่นดินย่อมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงอินทรีย์    เหตุฉะนี้แล้วไฉนไม่แทนคุณ

        จากฟากฟ้ามาถึงดินถิ่นมนุษย์         จากสมุทรถึงสุธาชีวาหมุน เป็นวงเวียนเปลี่ยนภาพบาปและบุญ        นับเนื่องหนุนดั่งเดินทางไปกลางไพร

        ยังไม่ถึงบึงใหญ่ในป่าลึก                  อย่าเพิ่งนึกว่าน้ำนั้นมันจะใส เพียงผิวนอกหลอกหลอนซ่อนภายใน     มหาภัยใหญ่ล้นอยู่ก้นบึง

        ลืมเสียเถิดความหลังฝังรากจิต        สลัดทิ้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่าคิดถึง ลืมเสน่ห์เวลาหาวและดาวดึงส์                 ฟังเสียงซึงเสียงซอส้อศรัทธา

        ในเพลงนั้นบรรยายถึงหายนะ             เศษชีวีที่ขรุขระอนาถา เกิดกลางดินกินกลางทรายนอนปลายนา   ห่มผืนฟ้าอ้าแขนโอบแผ่นดิน

        น้ำตาหยดรดหญ้าขอบตาปริ่ม           ยังฝืนยิ้มเย้ยยั่วหัวใจหิน นี่หรือโลกโชคโฉดโทษทมิฬ                    ให้เราดิ้นแดยันกันแทบตาย

        อยากจะด่าความอาภัพที่สับโขก      บ้างเศร้าโศกบ้างหัวร่อเสียงอหาย คราวชอกช้ำน้ำตานองต้องฟูมฟาย          ยามสบายน้ำลายไหลนัยน์ตาวาว

        ได้ยินเพียงเสียงไชโยและโห่ร้อง     บ้างก็ป้องปากด่ากันฉ่าฉาว ชีวิตหวานชีวิตขมผสมคาว                         มีเรื่องราวหลายแฉกแตกต่างกัน

        กุหลาบป่าอ่าโอ่โผล่กลีบอวด           มีราคาค่างวดตรงสีสัน สะเก็ดหินดินทรายไม่สำคัญ                    หากเฉิดฉันอาจเห็นเป็นเพชรนิล           เมื่อหม่นหมองจองมองรุ้งที่คุ้งโค้ง      ท้องฟ้าโล่งออกอย่างนี้ยังมีศิลป์ สลับรสสลดรักสลักต์จินต์                           ไม่ผิดพิณดิ้นดีดกรีดเสียงครวญ

        ลองมาดูคู่รักกันสักคู่                                ให้นั่งอยู่บนม้าไม้ที่ในสวน เฝ้าพร่ำพรอดออดพรอดแอบแนบเนื้อนวล   ต่างปั่นป่วนป้อแป้แพ้แรงใจ

        สมมติว่าพระจันทร์นั้นกระจ่าง                แสงสว่างสร้างสรรค์อันไสว แล้วหอมกลิ่นอันมีค่าจากมาลัย                     หวีดลองไนระงมป่ามาอวยพร

        ปัจจุบันทันใดให้ประหลาด       จันทรคราสจับเต็มคราบเป็นภาพหลอน มืดมัวดินสิ้นดินฟ้าพนาดอน             เขาและหล่อนทำอย่างไรไม่พ้นกลัว

        สลับรักสลักพร่ำด้วยคำพ้อ       ปากเช่นนี้หากพี่ขอจะได้ไหม แก้มพริ้มเพราเจ้าเก็บไว้ให้กับใคร   เพราะเหตุใดจึงหลบไม่สบตา

        ต่อจากนั้นพระจันทร์แจ่มแอร่มหรู     เพราะราหูคายจันทร์อันสลัว ทั้งสองก็หัวร่อคิกระริกระรัว                      เริ่มยิ้มหัวเล่นจ้ำจี้พิรี้พิไร

        เงยขึ้นมองจ้องพี่นี้อีกครั้ง        เห็นหรือยังว่าพี่รักเจ้าหนักหนา ไม่รู้โรยรู้ห่างรู้ร้างรา                         มาเถิดมามาเห่กล่อมด้วยอ้อมทรวง

        อยากอุทิษชีวิตรักนี้สักครั้ง      สมมุติดังของมีค่ามาบวงสรวง แต่ไม่เชื่อความขลังเทพทั้งปวง       จึงต้องหวงห่วงประทับไว้กับเรา           เก็บความชังขังความรักไว้สักครู่     หันมาดูเมรัยในเหยือกเผา รสแปร่งปร่าซ่าซึมดื่มแล้วเมา                 พอดื่มเหล้าแล้วหันหน้ามาคุยกัน

        มีส่วนหนึ่งซึ่งสดใสในภาพพจน์      เทพกำหนดชื่ออีเด็นเป็นสวนขวัญ มีผลหมากรากไม้ไว้ครบครัน                  แต่กระนั้นก็ดียังมีงู

        ในระหว่างเทพธิดากับซาตาน         เกิดเหตุการณ์อัปยศและอดสู "แอปเปิลนี้ผลสีทองลองชิมดู                 แล้วจะรู้รสชาติอำนาจมัน"

        แอปเปิลบาปสาปสรรเกิดปัญหา      ก่อกำหนัดขัดบัญชาแห่งสวรรค์ ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองเกิดเรื่องกัน   ต่างพัวพันต่อไปในแผ่นดิน

เกลียดความรักรักความเกลียดอยากเหยียดหยาม   เฉกโซ่ล่ามอินทรีย์อย่างมีศิลป์     เอ้า! อย่างงรีบส่งถ้วยจะช่วยริน           หลังดื่มกินแล้วสังสรรค์กันอีกที

        ดูโน่นซีผีเสื้ออะเครื้ออะคร้าว      ปีกแพรวพราววาววับสลับสี โฉบปีกว่อนร่อนปีกร่าเฉี่ยวมาลี          สัตว์ก็มีชีวิตไม่ผิดคน

        ในระหว่างนรกอันหมกไหม้         กับสวรรค์อันแจ่มใสในเวหน มีสิ่งหนึ่งซึ่งซื่อตรงและคงทน             คือวงวนแห่งชีวิตอนิจจา

        ลองรำลึกนึกไปสมัยเด็ก             ตัวเล็กเล็กยังเริ่มรักเป็นหนักหนา รักเผ่าพงศ์วงศ์วานรักมารดา               รักตุ๊กตาอาหารและบ้านเรือน

        โตขึ้นหน่อยค่อยค่อยรู้ดูตัวอย่าง    รักแต่งร่างแต่งตัวกลัวฟั่นเฝือน รักเมฆขาวดาวหรูชอบดูเดือน                 แล้วรักเพื่อนรักพรรครักนานา

        ครั้นหนุ่มสาวคราวประจักษ์รักทางเพศ    ข้ามขอบเขตไปกระสันกับตัณหา น้องรักพี่พี่รักน้องทั้งสองรา          ชื่นชีวันขวัญชีวาว่าตามกัน

        เมื่ออายุลุถึงวัยได้เป็นหลัก    เริ่มรู้จักรักใหม่ในความฝัน รักวิญญาณศรัทธาสารพัน              รักสวรรค์สายลมยมนา

        ครั้นแก่เฒ่าจวนเข้าโลงโยงใยรัก    เริ่มประจักษ์อนิจจังของสังขาร์ รักสมบัติมรดกตกทอดมา     รักชีวาของตัวกลัวจะตาย

        จำไว้เถิดเกิดเป็นคนไม่พ้นรัก    วัฎจักรผลักล่ามหลายความหมาย รักความงามหยามความเกลียดเหยียดความอาย     มีลวดลายหลายกระบวนชวนมึนเมา

        ฟังเขาร้องมองเขาเล่นเห็นเขาสุข       ไม่มีทุกข์ไม่มีโศกโลกของเขา ครั้นหันหน้ามามองตัวของเรา                     ไม่ผิดเงาที่โลดแล่นเป็นพิธี...           ตะแลงแกงแห่งชีวิตไม่ผิดเพี้ยน          ย่อมสับสนวนเวียนเปลี่ยนวิถี ไม่คำนึงถึงส่วนตัวชั่วหรือดี                           ขอให้มีการสิ้นสุดยุติกัน         กลางแสงแดดแผดกระพริบระยิบระยับ       มนุษย์ขับรถแข่งอย่างแข็งขัน เหงื่อจะไหลไคลจะหนาหน้าจะมัน                     เกมพนันอันเพลิดเพลินดำเนินไป

        กลางแสงแดดชาวดินสิ้นแรงร้อน            เพราะแสนเมื่อยเหนื่อยอ่อนนอนหลับใหล จบบทบาทประจำวันอันหนักใจ                        หลับฝันไกลใต้น้ำค้างกลางแสงดาว

        กลางแสงเทียนริบหรี่สีเหลืองสด            เสียงนักพรตนักบวชสวดกันฉาว ถ้าทำดีดีจะเห็นเป็นเรื่องราว                            ครั้นถึงคราวทำชั่วจะมัวมน..

        แสงแดดพราวดาวพรายปลายเปลวเทียน      ต่างวกเวียนสอดสลับกันสับสน เก่งหรือโง่โซหรือสวยรวยหรือจน                           แสงใดดลให้คนแผกแตกต่างกัน

        ช่างมันเถิดจงมาดื่มลืมให้หมด              ถือเป็นกฏบวกลบความขบขัน ใครจะสุขใครจะโศกช่างโลกมัน                   เขาเหล่านั้นมีราคาค่าแสดง

        ทราบบ้างไหมไยแหล่งโลกจึงโศกเศร้า         ชีวิตเฉาเหงาหงอยเศร้าสร้อยแฝง นับแต่คลอดออดโอยระโหยแรง                            จนลุแหล่งแห่งสุดท้ายตายจากกัน

        เมื่อสิ้นโชคโลกสลดหมดความสุข           บทบาททุกข์ทับทวีเพิ่มสีสัน กลีบกุหลาบคราบน้ำตารอยจาบัลย์                 ดุจกังหันแห่งชีวิตลิขิตเรา

        มนุษย์เงียบเยียบหยัดสงัดสงบ         สัตว์สยบซบโศกโลกอับเฉา ต้นไม้ซมลมกำดัดพัดแผ่วเบา                   สายน้ำเศร้าเสียดสะอื้นซัดพื้นทราย

        เมฆลอยเลื่อนเหมือนหลงเปลี่ยวเกลียวชีวิต       ดาวดวงนิดกะพริบพร่ำน้ำตาฉาย ฟ้าสีเทาเขาสีเขียวยังเดียวดาย                                    แม้พระพายยังหวิวหวีดกรีดกำนัล

        โลกทั้งโลกโศกสลดกำสรดสุด         เมื่อมนุษย์มิหยุดบาปยังหยาบหยัน หลงอบายหลายอย่างต่างๆ กัน                 จึงสวรรค์สรรสลดให้ทดแทน

        หากมนุษย์หยุดกิเลสประเภทบาป        จะพบภาพสุดประเสริฐบรรเจิดแสน ดอกไม้บานเดือนรุ่งยูงรำแพน                       ตลอดแดนตั้งแต่ดินถึงถิ่นดาว

        แมลงปอก้อร่อก้อติกขยิกขยัน       นกกินปลาลาลันสัญจรหาว ต้นหูกวางกิ่งก้านสะท้านกราว                 เสียงหนุ่มสาวพะเน้าพะนอกลางอ้อคา

        การกำหนดบทรักมักเหมาะสม              ดังวงกลมสมดุลตามประสา พรหมลิขิตขีดพิกัตเป็นอัตรา                         มีความว่าหญิงชายตายด้วยกัน

        เมื่อรักแท้สุดแต่ว่าชะตารัก            มันจะผลักลงนรกวกสวรรค์ จะเคลียคลอหัวร่อร่าหรือจาบัลย์           สุดแต่กรรมนำผันตามครรลอง            ฝ่ายชายให้ได้แต่อกแผ่กว้าง       แขนสองข้างร่างมั่นมันสมอง ฝ่ายหญิงให้พรหมจารีที่ชายปอง           รวมทั้งห้องของหัวใจไม่หวงเลย

        ชายรักหญิงหญิงรักชายตายด้วยกัน        ช่างน่าขันชีวิตนิจจาเอ๋ย ยามรักกันวันก็ชื่นคืนก็เชย                                ต่างสังเวยแด่ดินฟ้าด้วยสาบาน

        เริ่มที่ตาแล้วหลั่งไหลไปที่จิต             เฝ้าพิศพิศพร่ำพร่ำคำหวานหวาน รักรักรักต่อไปได้นานนาน                         เฝ้าขานขานคิดคิดชีวิตคน

        รักจะสู้ไยไม่สู้ดูสักตั้ง                        มัวแต่รั้งหวังแต่รอไม่ก่อผล เอาแต่บ่นก่นแต่พร่ำคำของตน                 ว่าโชควนชีพเวียนไม่เปลี่ยนทาง

        รักจะกล้าไยไม่กล้าหันหน้าสู้            มัวหดหู่ทำไมให้หมองหมาง อันเล่ห์หลอกซอกซุ้มหรือหลุมพราง        จงแผ้วถางด้วยความหวังกำลังแรง

        อย่าโศกเศร้าแม้นเรานี้มีเพียงแขน     ถึงอ้อนแอ้นอ่อนแอแม้ไม่แข็ง จงโอบรัดศรัทธามาสำแดง                          แล้วแจกแจงแจ้งจุดยุติธรรม

        อย่าโศกเศร้าแม้นเรานี้มีเพียงขา        ถึงผอมโซโสภาน่าถลำ จงก้าวหน้ากล้าสู้ประตูกรรม                        เพื่อแน่วนำเจียระไนใจมนุษย์

        แขนทั้งสองของเจ้าจงเฝ้าสู้                ขาทั้งคู่ย่างไปไม่ยอมหยุด แขนจะล้าขาจะล้มไม่ซมทรุด                    สู้ให้สุดศักดิ์ศรีของชีวิต

        ที่ไกลโพ้นโน่นประทีบชีพช่วงโชติ      แสงรุ่งโรจน์รำไรแจ่มไพจิตร  ที่ไกลโพ้นโน่นเสียงสรวลของมวลมิตร     ก้าวอีกนิดไกลอีกหน่อยค่อยพักพิง

     เกลียดอะไรก็เกลียดได้หากไร้เกียรติ      แต่อย่าเหยียดเกลียดเหล้าและผู้หญิง... เพราะชื่นฉ่ำอมฤตศักดิ์สิทธิ์จริง                     หลอมทุกสิ่งอันสดสวยเข้าด้วยกัน

        เชื่ออะไรใครเขาบอกหลอกให้เชื่อ          เอ้า! ดื่มเพื่อความงามและความฝัน หญิงครองเราเหล้าครองโลกโชคอนันต์          มาประชันบทนักสู้ผู้แสดง

        ต่อให้เป็นทะเลทรายสายน้ำพุ                 ร้อนระอุเย็นยะเยียบเปรียบน้ำแข็ง ไม่ทรุดซมล้มระทดเพราะหมดแรง                 จะขอแข่งสู้เป้าหมายตายหรือเป็น

        อันกงเกวียนเวียนวงเป็นกงกรรม            กลางสูงต่ำท่วงทำนองมองไม่เห็น แต่ตรึงตราจารึกผนึกเซ็น                                ดุจแผลเป็นติดตัวชั่วและดี

        แน่ะ ! เห็นไหมดวงตะวันนั้นลาลับ            แสงสลับเป็นฉัพพรรณรังสี ตามกำหนดหมดทิวาเริ่มราตรี                           หน่อยคงมีกลุ่มดาวพราวอัมพร

        ทางช้างเผือกผีพุ่งไต้คล้ายเพชรรูป           สะเก็ดวูบสว่างวาบดั่งภาพหลอน ดูแวววาวพราวพร่างทางโคจร                              มะก่อนนอนดื่มเข้าไปดื่มให้เมา

        แด่พธูผู้ผ่านไปในอดีต                                แด่สังคีตแห่งสินธูและภูเขา แด่ความฝันอันลำพองของพวกเรา                    ดื่มหมดแล้วเหลือแก้วเปล่า เอ้า! คว่ำลง...

แปลโดย  แคน  สังคีต

http://www.faylicity.com/echo/echo1.html#n11 http://www.oknation.net/blog/print.php?id=240442

เล่มนี้ผมมี ชอบสำนวนแปลของ แคน สังคีต โดยเแฉพาะช่วง 5-7 โลกียะผสมกับโลกุตระ อย่างลงตัว ชวนให้นึกถึง มังกรโบราณ โกวเล้ง ยังงัย ยังงั้น เลย 555 ....ว่าไปนั่น

โอยย ช่วงนี้กำลังอ่านโกวเล้งอยู่ทีเดียว

ได้อ่านแล้วไพเราะมาก แต่บทที่9 กับบทที่10 คำแปลซ้ำกันถ้าจะกรุณา เพิ่มเติมคำแปลให้จักขอบคุณยิ่งด้วยจิตนอบน้อม

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท