สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) เกิดขึ้นในเมืองฟลอเรนซ์ แคว้นทัสกานี ที่อยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่ราวค.ศ.ที่ 14 ถึงค.ศ.ที่ 17 เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในทวีปยุโรป และเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมยุคใหม่ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวรรณกรรม วิทยาศาสตร์ ศิลปะ ศาสนา การเมือง และการฟื้นฟูการศึกษา โดยอาศัยหลักนักมนุษยนิยมและปัจเจกชนนิยมเป็นเครื่องจูงใจ
ผู้คนในสมัยนั้นที่ยังมีความเชื่อว่าพระเจ้า บาปบุญคุณโทษและโชคลาง เป็นสาเหตุของโรคภัย ในยุคกลางหรือยุคมืด มีน้อยลงและเข้าสู่ความสว่างไสวในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา หรือที่เรียกว่า "renaissance" ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ในยุคนี้มีแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นอย่างมากมาย โดยนักปรัชญาชาวตะวันตก ซึ่งเป็นสาเหตุให้คนในค.ศ.ที่ 18 และ 19 คำนึงถึงเหตุผลและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ โดยไม่ตกอยู่ใต้อำนาจเร้นลับของโชคชะตาแต่เพียงอย่างเดียว
"กล่าวได้ว่ายุคนี้ เป็นระยะที่มีการวางรากฐานเกี่ยวกับการศึกษาทางกายวิภาคศาสตร์ สรีรวิทยาและจุลินทรีย์ต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรค แต่ในยุคนี้ยังไม่ปรากฏว่ามีการดำเนินงานทางสาธารณสุขอย่างเป็นทางการ เพียงแต่เป็นความเคลื่อนไหวของนักวิชาการและชุมชนในบางท้องที่เท่านั้น"
|
มีการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ข่าวสารช่วยเผยแพร่ความรู้ ทำให้ความรู้ทางการแพทย์แพร่กระจายมากขึ้น |
|
แม้ว่าในสมัยโบราณ กาเลนจะเชื่อว่า กายวิภาคในสุนัข เหมือนกับ กายวิภาคในมนุษย์ และสมัยกรีกโบราณจะมีการวิจัยจากศพเพื่อศึกษาโครงสร้างมนุษย์ครั้งแรก แต่ได้มีการบันทึกและวาดภาพแสดงกายวิภาคของอวัยวะต่างๆไว้ชัดเจนในสมัยนี้ โดย เบลเจียน แอนเดียส เวซาเลียส นอกจากนี้ ฮันส์ เจนส์เซน ช่างทำแว่นตาชาวดัทช์ ได้ประดิษฐ์ กล้องจุลทรรศน์แบบผสมขึ้นมาอีกด้วย |
|
มีนักวิทยาศาสตร์ 2 ท่าน ที่ค้นพบระบบร่างกาย ได้แก่ จอห์น เมย์ฮาวส์ พบว่าในอากาศมีส่วนประกอบจำเป็นต่อการหายใจ และ วิลเลียม ฮาร์วีย์ ได้บรรยายเกี่ยวกับการไหลเวียนโลหิตแบบลำเลียงเลือด และน้ำเหลืองแทนแนวคิดในสมัยอียิปต์โบราณ นอกจากการค้นพบการทำงานของร่างกายแล้ว สมัยนี้ยังเป็นยุคที่กล้องจุลทรรศน์เจริญรุ่งเรือง จึงมีการศึกษาสิ่งเล็กๆต่างๆมากมาย เพื่อผลการทดลองที่แม่นยำขึ้น จึงมีการคิดค้นเทอร์โมมิเตอร์ขึ้นมาด้วย |
1. เรอเน เดการ์ต (René Descarte)
|
2. ลุยจิ อลอยซิโอ แกลวานี |
3. อันเดรียส เวซาเลียส |
4. ลีโอนาโด ดาร์วินซี |
5. วิลเลียม มอร์ทอน |
6. วิลเลียม ฮาร์วีย์ |
7. มาเชลโล มัลพิกิ |
8. อองบรวส ปาร์ |
9. พาราเซลซัส |
10. ปิเอโตร มัทติโอลี |
11. ซามูเอล ฮันนีมาน |
>>คลิกที่ชื่อนักวิทยาศาสตร์แต่ละท่านเพื่อศึกษาประวัติเพิ่มเติม<<
เรอเน เดการ์ตได้รับการยกย่องให้เป็นนักคิดแห่งยุคสมัยใหม่คนแรก เนื่องจากเป็นผู้วางรากฐานของระบบทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
แกลวานีเป็นผู้ค้นพบคนแรกในด้านความสัมพันธ์ระหว่างไฟฟ้าและสิ่งมีชีวิต เขาได้อธิบายรูปแบบไฟฟ้าในสัตว์เพื่อที่จะอธิบายแรงที่กระตุ้นกล้ามเนื้อของสัตว์ทดลอง ในขณะเดียวกันนั้นเขาได้พิจารณาว่าการกระตุ้นนั้นได้ถูกสร้างขึ้นโดยของเหลวทางไฟฟ้าที่นำพาไปยังกล้ามเนื้อผ่านทางเส้นประสาท ปรากฏการณ์นี้ถูกขนานนามว่าไฟฟ้าซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาเคมี
อันเดรียส เวซาเลียสเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยี่ยม ที่ได้รับการยกย่องในฐานะนักกายวิภาคศาสตร์ ผู้เป็นบิดาของการศึกษากายวิภาคศาตร์สมัยใหม่ เขาได้เขียนหนังสือที่มีประโยชน์ต่อการแพทย์อย่างมาก คือ "De humani corpris fabrica" (On the Fabric of the Human)
ลีโอนาโด ดาร์วินซี (Leonardo da Vinci) เป็นชาวอิตาลี เขามีความคิดว่าการวาดภาพนั้นไม่ควรแสดงเพียงความเหมือนต้นแบบ แต่ควรแสดงอารมณ์ และความรู้สึกลึกๆ ในจิตใจของผู้ถูกวาดด้วย ดังนั้น จึงคิดต่อไปว่า เพียงแค่วาดภาพอวัยวะที่เห็นจากภายนอกคงไม่เพียงพอ แต่ต้องรู้ถึงการทำงานของมันด้วยจึงทำให้ต้องชำแหละดูเนื้อข้างในอย่างละเอียด
5. วิลเลียม มอร์ทอน (William T. G. Morton)
วิลเลียม มอร์ทอน ทันตแพทย์ชาวอเมริกันผู้ริเริ่ม สาธิตการใช้อีเทอร์เป็นยาสลบผ่านทางการสูดดมครั้งแรกในการผ่าตัด
วิลเลี่ยม ฮาร์วีย์ พบว่าการไหลเวียนของเลือดเป็นแบบวงกลม มิใช่ไหลถอยหลังและไปข้างหน้ากลับไปกลับมา ตามความเชื่อก่อนหน้านี้ และได้เขียนตำราเกี่ยวกับทฤษฎีการไหลเวียนของเลือดขึ้น ซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียงไปทั่วโลก
มัลพิกิได้ใช้กล้องจุลทรรศน์กำลังสูงส่องดูปลายเส้นเลือดดำกับปลายเส้นเลือดแดง และพบว่าเส้นเลือดขนาดเล็กจำนวนมากที่ยึดโยงระหว่างเส้นเลือดทั้งสองชนิดนี้ เขาจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้พบเส้นเลือดฝอยเป็นคนแรก และจากการศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์นี้ทำให้เขาได้รับยกย่องให้เป็น “บิดาของวิทยาการด้านกายวิภาควิทยาเชิงจุลทรรศน์”
Ambroise Pare ชาวฝรั่งเศส ปาเรเป็นหมอทหารประจำอยู่ในกองทัพ ได้รับความรู้ความชำนาญจากการทำบาดแผลในสงคราม เป็นผู้ประดิษฐ์คีมจับหลอดเลือด และผูกหลอดเลือดเพื่อห้ามเลือดในขณะผ่าตัด อันเป็นวิธีที่ศัลยแพทย์ยังใช้กันอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้
พาราเซลซัสยังถูกยกย่อง ให้เป็นบิดาทางด้านวิชาพิษวิทยา เพราะเขากล่าว ไว้ว่า ไม่มีสารใดในโลกที่เป็นพิษและไม่มีสารใดในโลกที่ไม่เป็นพิษ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ถูกวิธีถูกปริมาณหรือไม่ นอกจากนี้เขายังได้สกัดสารส่วนสำคัญของสมุนไพรที่ใช้ในการรักษามาให้อยู่ในรูปแบบของทิงเจอร์อีกด้วย ถือเป็นการปฏิวัติทางด้านเภสัชกรรมในสมัยนั้น
ปิโตรมีผลงานมากมายทั้งด้านพฤกษศาสตร์และเภสัชวิทยา งานเขียนของเขามีชื่อเสียงมากเนื่องจากมีรูปภาพประกอบมากมายและสามารถนำไปใช้ในการแยกแยะวินิจฉัยตัวยาสมุนไพรได้อย่างถูกต้อง ทำให้ตำราของเขาเป็นที่นิยมและมีการพิมพ์ต่อเนื่องตลอด 200 ปี
ซามูเอล ฮันนีมาน( Samuel Hahnemann) เป็นแพทย์ชาวเยอรมันที่เป็นที่รู้จักกันในนามของ ผู้คิดค้นแพทย์ทางเลือกแบบใหม่ชื่อโฮมีโอพาที (Homeopathy) ฮันนีมานบอกว่าการแพทย์ในสมัยนั้นเป็นอันตรายมากกว่าที่จะช่วยรักษาคนไข้ และด้วยจรรยาของแพทย์นั้นเขายังบอกอีกว่ายากที่จะให้รักษาคนไข้ด้วยด้วยหลักทางการแพทย์ที่ไม่เป็นที่กระจ่างเข้าใจ
553070007-5 นางสาวกานติ์ชนิต ซอสุขไพบูลย์
553070037-6 นายธัชพงศ์ โปกุล
553070068-5 นายรัตน์ศักดิ์ ตั้งเทอดชนะกิจ
553070010-6 นายเกรียงศักดิ์ คำหลอย
553070039-2 นายธีระกานต์ กองทอง
553070069-3 นายเลอพงศ์ ไชยมานันท์
553070090-2 นางสาวชไมพร อัตถากร
553070200-1 นางสาววีรดา ตรงตรานนท์
553070130-6 นางสาวณิชกานต์ ศรีแสนปาง
553070188-5 นายยุทธพล เฉิดดิลก
553070203-5 นายศุภวิชญ์ แถมเงิน
553070112-8 นายจิตติวัฒน์ ทัศนียกุล
553070161-5 นายปิยะพันธ์ สาสุข
553070214-0 นายสุริยะ ทิพวงษ์
553070104-7 นางสาวขวัญชนก บัวโฮง
553070206-9 นางสาวสันต์ฑิตา พิมลบุตร
553070149-5 นายธานี สันติไชยกุล
553070252-2 นายทิฆัมพร ทวิสกุลรัตน์
553070265-3 นายสกุลเกียรติ สินชัยศรี
553070240-9 นางสาวเพียงพิชญ์ นวลศิลป์
รายละเอียดครบครัน ภาพสวนมากๆ น่าสนใจจริงๆคับ : D
ดีมากๆเลย ได้รู้ถึงประวัติศาสตร์การแพทย์ในยุครุ่งเรืองของยุโรป
ชอบยุคนี้ แลดูเจริญรุ่งเรืองดี :) เป็นรากฐานของสังคมสมัยนี้เกือบทุกเรื่องเลยก็ว่าได้
ยุคนี้บุคคลสำคัญเพียบเลย น่าอ่านจริงๆ
นักวิทยาศาสตร์เยอะมากๆ เป็นยุคที่สำคัญและน่าสนใจจริงๆ
เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายและนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองทางการแพทย์ในยุคต่อ ๆ มา
จัดรูปแบบและเนื้อหาน่าอ่านมากครับ :]
ทุกอาชีพมีบทบาทสำคัญต่อการแพทย์จริงๆในยุคนี้ เท่มาก
คนสมัยก่อนเก่งมากๆ เลยเนอะ
น่าสนใจ ชอบๆ มีประโยชน์มากๆเลย
โอ้ โห สุดยอดมากเลยอ้ะ !!
สุดยอดมากเลยนะคนสมัยก่อน
ศิลปะสำคัญต่อการแพทย์ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย >[]< สุดยอดมากค่ะ!! จัดรูปแบบได้น่าสนใจมากค่ะ อ่านแล้วเพลินดี~
โอ้โห ประวัติยาวนานจริงๆ น่าสนใจมากๆจ้า
ศิลปะอยู่คู่กับการแพทย์
มีคนสำคัฯเยอะจริง