แม่ บ้านแม่ และวันแม่ 2555


ไม่ว่าจะวันแม่หรือวันไหน ๆ แม่ยังแสดงให้เห็นว่ารักและห่วงใยลูกมากกว่าตัวเองเสมอ

วันแม่ปีนี้ดิฉันไม่ได้อยู่กับลูกและไม่ได้ไปหาแม่ เพราะมีงานรุมเร้าหลายอย่าง จึงอยู่ทำงานที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ลูกชายที่กำลังเรียนอยู่ที่ UC Davis โทรศัพท์มาสวัสดีวันแม่เมื่อคืนเวลาประมาณ 23 น.กว่า ทำให้รู้ว่าอากาศที่โน่นกำลังร้อนอย่างโหดเชียว

ถือโอกาสในวันแม่รำลึกถึงแม่ที่ปีนี้มีอายุใกล้ 100 ปีแล้ว แม่ของดิฉันมีเชื้อสายลาวพวน แต่งงานกับเตี่ยที่มีเชื้อสายไทยจีน แม่มีลูก 14 คน เสียชีวิตตั้งแต่เล็ก ๆ 2 คน ด้วยสาเหตุอะไรแม่บอกว่าจำไม่ค่อยได้แล้ว เหลือหนึ่งโหลพอดี ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว 2 คน ด้วยโรคตับแข็ง 1 คน และมะเร็งหลังโพรงจมูก 1 คน ส่วนเตี่ยนั้นเสียชีวิตไป 20 กว่าปีแล้ว คาดว่าด้วยโรคหัวใจเฉียบพลัน

ตั้งแต่ดิฉันจำความได้ก็เห็นแม่ทำงานหนักตลอด ว่างเว้นจากการทำนา แม่ก็เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ในเวลากลางวันไม่เคยเห็นแม่นั่ง ๆ นอน ๆ เลย  แม่จะขุดดินปลูกผักปลูกเผือกปลูกอ้อยเอาไว้ เราจึงได้กินเผือกต้มจิ้มน้ำตาล ได้กินอ้อยในหน้าเกี่ยวข้าว

แม่พูดเพราะ ๆ ไม่เป็น สอนไม่เป็น คอยพูดแก้ตัวให้เมื่อลูกคนใดทำผิด แสดงความรักต่อลูกโดยคอยดูแลให้ลูกกินอิ่มอยู่เสมอ นอกจากอาหารการกินประจำวันแล้ว แม่ยังทำขนมประเภทตะโก้ ข้าวต้มมัด ลอดช่องน้ำกะทิ บางทีก็ทำขนมถั่วแปบ ให้ลูกกินบ่อย ๆ  ทำแต่ละครั้งก็จะทำเยอะ ๆ แม่บอกว่าให้กินจนเบื่อไปเป็นอย่าง ๆ ไป ถ้ามีขนุนสุก แม่ก็จะนึ่งข้าวเหนียวทำข้าวเหนียวมูลให้กินกับขนุน การทำขนมต้องลงมือทำเองหลายขั้นตอน ตั้งแต่การโม่แป้ง การขูดมะพร้าว คั้นกะทิ กวนขนมฯ แต่แม่ก็ไม่เบื่อหน่ายที่จะทำให้

ตอนเด็ก ๆ เราไม่ชอบที่แม่คอยปลุกให้เราตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วคอยเรียกหาเมื่อไม่เห็นเราอยู่ในสายตา เราจะแอบไปเล่นน้ำไปทำอะไรบ้างก็ไม่ได้ (ดิฉันโทษว่าเพราะเหตุนี้ดิฉันจึงเป็นลูกคนเดียวที่ว่ายน้ำไม่เป็น) ความจริงแม่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของลูก แม่ชอบพูดบ่นคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย แต่ที่ดิฉันจำได้ว่าตัวเองไม่เคยถูกแม่ตีเลย

แม่กลัวฟ้าฝนและพายุ เวลาฝนตกหนัก ๆ มีลมแรง หากเกิดในเวลากลางคืนแม่จะปลุกพวกเราให้ลุกขึ้น (ทั้ง ๆ ที่เราอยากนอน) เตรียมพร้อมเผื่อต้องโดดลงจากบ้านหนีพายุ

ความจริงดิฉันมีเวลาใกล้ชิดกับพ่อแม่น้อยกว่าลูกคนอื่น ๆ เพราะถูกส่งตัวไปอยู่กับพี่สาวคนโตที่กรุงเทพฯ เพื่อเรียนหนังสือตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 2 แล้วย้ายไปอยู่ที่อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี จนเรียนจบชั้นมัธยมศึกษา กลับมาอยู่กรุงเทพฯ อีกเมื่อเข้ามหาวิทยาลัย จะได้กลับบ้านก็ต่อเมื่อปิดเทอมใหญ่ บางปีก็ไม่ได้กลับ

กิจกรรมที่ดิฉันทำเมื่อกลับบ้านนครนายกตอนเด็ก ๆ เป็นเรื่องที่ทำเพราะอยากลองแบบสนุก ๆ มากกว่าทำเป็นงานจริงจัง เช่น เก็บข้าวตก (หลังเกี่ยวข้าว) ตำหยวกกล้วยให้หมู และงานหนัก ๆ เช่น หาบน้ำ ไถนา หว่านข้าว เกี่ยวข้าว หาบข้าว ขุดดิน ทำไม่เป็นและไม่เคยต้องทำ กลายเป็นลูกชาวนาที่ใช้ชีวิตแบบเด็กในเมือง

แม่มีอายุยืนมากกว่าพี่ ๆ น้อง ๆ ของแม่ แม้ระยะหลัง ๆ แม่จะเจ็บป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่มีสักครั้งที่แม่จะบอกว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ แม่ต่อสู้กับความเจ็บป่วยได้ทุกครั้ง ความจำของแม่ยังดี มีเพียงสายตาที่มัวจากต้อกระจก แม่กินอาหารได้นอนหลับดี แม้ว่าความแข็งแรงของร่างกายจะถดถอยลงไปตามกาลเวลา แต่แม่ก็อยากจะอยู่อาศัยที่บ้านนครนายกมากกว่าการมาอยู่กับลูกที่กรุงเทพ

เราโชคดีที่มีน้องสาวคนถัดไปจากดิฉันที่อยู่กับแม่และคอยดูแลแม่ตลอด น้องสาวเลิกทำนาแล้ว แต่ปลูกต้นไม้พืชผักเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาไว้กินเอง น้องชายคนเล็กซึ่งปัจจุบันทำงานอิสระ จะใช้เวลาในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์แวะไปดูแม่ ดูต้นไม้ในสวน และดูปลาที่เลี้ยงไว้เป็นระยะ ๆ สำหรับดิฉันจะไปเยี่ยมแม่เดือนละ 1 ครั้ง

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ดิฉันไปเยี่ยมแม่ที่บ้านนครนายก พี่สาวคนโตและน้องชายคนเล็กไปก่อนหน้าดิฉันและค้างอยู่กับแม่ด้วย แม่บอกว่าสบายดี แม้จะเดินไม่ไหวแต่ก็ใช้วิธีถัดจากห้องนอนออกมาคุยกับลูก ๆ ที่หน้าครัว แม่รู้ว่าเราปลูกต้นไม้ในสวนกันใหม่ มีอะไรออกลูกออกผลให้กินได้แล้วบ้าง แสดงว่าแม่รู้เรื่องความเป็นไปรอบตัว

แม่จะถามถึงลูกคนนั้นคนนี้ ดิฉันบอกว่าแม่ต้องห่วงตัวเองเพราะอายุมากแล้วไม่ต้องไปห่วงใครเขาหรอก แต่แม่บอกว่าอดไม่ได้ที่จะห่วงลูกหลาน แม่รู้ว่าทุกคนไปทำมาหากินจึงไม่ได้มาอยู่ใกล้ เมื่อได้เวลาที่ลูก ๆ ลากลับกรุงเทพฯ แม่ดูเหงาและบอกว่าให้มาหาแม่อีกนะ

คิดแล้วสะท้อนใจที่แม่มีลูกหลายคน แต่ตอนนี้อยู่กับน้องสาวเพียงคนเดียว มีพี่ ๆ ที่อายุมากแล้วอยู่บ้านใกล้ ๆ อีก 3 คน แต่ละคนจะแวะเวียนมาคุยกับแม่เป็นครั้งคราว วิถีชีวิตชนบทเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีลูกหลานอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบสมัยก่อน

แต่ไม่ว่าจะวันแม่หรือวันไหน ๆ แม่ยังแสดงให้เห็นว่ารักและห่วงใยลูกมากกว่าตัวเองเสมอ

ที่บ้านแม่ตอนนี้มีน้ำบริเวณใต้ถุนบ้านแล้ว ในบ่อก็มีน้ำเต็ม ต้นไม้ที่น้องสาวและน้องชายปลูกไว้ในสวนเริ่มแตกยอด ถ้าปีนี้ไม่มีน้ำท่วมต้นไม้คงจะโตได้ดี เพราะช่วงนี้มีฝนตกเกือบทุกวัน เราลองปลูกต้นไม้ต่างถิ่น เช่น ไผ่หวานหนองโดน (อ่านเจอในหนังสือพิมพ์) ต้นทำมัง มังคุด เงาะ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร

 

 

ซ้าย ไผ่หวานหนองโดน ขวา ต้นทำมัง

 

ต้นมะม่วง 

 

ต้นกระท้อน

ต้นไม้พื้น ๆ เช่น มะม่วง กระท้อน มะยงชิด น้อยหน่า ก็ดูท่าจะเติบโตได้ดี

 

 พริกขี้หนู

 

น้ำเต้า 

 

ผักที่งามคือพริกขี้หนูพันธุ์ต่าง ๆ น้ำเต้า มะเขือ

 

กลับบ้านทีไร นอกจากได้เยี่ยมแม่แล้ว เราก็ได้ชื่นชมและกินพืชผักสดในสวนทุกครั้ง

วัลลา ตันตโยทัย

หมายเลขบันทึก: 498385เขียนเมื่อ 12 สิงหาคม 2012 15:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 สิงหาคม 2012 16:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สวัสดีวันแห่งแห่งชาติค่ะอาจารย์

อ่านบันทึกแล้วให้รู้สึกอบอุ่นด้วยไออุ่นรักนะคะ 

ขอบคุณค่ะ

 

สวัสดีคุณหนูรี อาจารย์นุ และคุณหมอ ป. ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมในวันแม่นะคะ

สวัสดีค่ะท่าน Blank วัลภา ตันตโยทัย

แวะมาให้กำลังใจ ในวันแม่ค่ะ  อย่าลืมแวะมาเยี่ยมเราบ้างนะคะ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท