โป้ง! พลันให้เขาตื่น
เสียงปืนที่คอยหลอกหลอนเขาเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว แต่เขากลับไม่เคยลบมันออกจากหน่วยความจำในสมองเขาได้ มันจะเป็นเสียงปืนจากเหตุการณ์ใดได้เล่า นอกจากเสียงปืนจากนโยบายบ้าๆ ของผู้นำประเทศเมื่อ ๗ ปีก่อน เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อผู้นำประเทศประกาศเอาจริงกับกลุ่มผู้ค้าและเสพยา ข้อหาดังกล่าวกำหนดให้ลูกชายของเขาต้องเป็นผู้ร้าย และถูกยิงต่อหน้าต่อตาอย่างโหดร้าย แต่ที่เหนือไปกว่านั้นเขาไม่เคยเชื่อเลยว่าลูกเขาจะเป็นเช่นนั้น เขาไม่เคยเชื่อว่าลูกเขาจะทำอย่างนั้น แต่มันก็เช่นเดียวกันอีกเมื่อเขาก็ไม่เคยได้รับการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของลูกชายหรือพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับวิญญาณของลูกชายสุดที่รักคนเดียวของชีวิต เขาอยากได้รับคำตอบเพียงแค่ว่าจริงหรือไม่?
เสียงอันหลอกหลอนนี้ได้กระตุกเอาร่างของเขาพลันลุกขึ้นนั่ง ร่างเขาปรากฏขึ้นอยู่มุมฝั่งขวาหลังห้องโถงชานชาลารถไฟประจำจังหวัด เป็นที่จัดไว้นั่งรอรถไฟ ซึ่งเก้าอี้ในแต่ละแถวจะเรียงติดกันสามตัว ความยาวของเก้าอี้สามตัวเรียงกันทำให้ประจวบเหมาะกับร่างกายของชายวัยกลางคนอย่างนายดีนอนได้
นายดีเสียลูกชายโดยไม่แน่ใจถึงความเป็นธรรมเมื่อ ๗ ปีก่อน ด้วยข้อหาค้ายาบ้าที่เขาแย้งและไม่เห็นด้วยกับข้อหาดังกล่าวมาโดยตลอด ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ความจริงดังกล่าว วันนี้โชคดีอยู่บ้างเมื่อเวลาผ่านไปทางการได้ประกาศให้มีการพิสูจน์ความจริงที่เกิดขึ้นในทุกกรณีเกี่ยวกับคดียาเสพย์ติดที่เกิดขึ้นเมื่อ ๗ ปีก่อน แต่ต้องยื่นคำร้องต่อศาลให้ทันภายในเวลาที่กำหนดเพียงสามชั่วโมง คือก่อน ๙ โมงของวันรุ่งขึ้น
เหตุนี้เองที่ทำให้ร่างของนายดีปรากฏขึ้นที่สถานีรถไฟประจำจังหวัดในยามค่ำคืน
รถไฟออกจากชานชาลาเมื่อประมาณสิบนาทีก่อนที่เขาจะเดินทางมาถึงและเหลือกอีกขบวนสุดท้าย ระบุเวลารถไฟออก ๒๓.๔๐ น. ถึง ปลายทางหัวลำโพง ๐๗.๔๐ น. เขาต้องรอและเผลอหลับไป
พลันที่เขาสะดุ้งตื่นจากเสียงอันเลวร้ายที่ตามหลอกหลอนเขาในความฝัน สายตาของเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ กระทั่งมาหยุดอยู่ที่นาฬิกาเก่าๆ เรือนหนึ่งบอกเวลา ๐๐.๔๐ น. โดยความตกใจที่ล่วงเวลาประกอบกับความไร้วี่แววของรถไฟเข้าสู่ชานชาลา ความสงสัยบังคับสมองสั่งขาทั้งสองข้างนำตัวเขาลุกขึ้นเดิน “เก้าโมงจะทันหรือ” เขาพูดในใจ มันผุดขึ้นมาในความคิดของเขาโดยไม่ได้เชื้อเชิญให้มันเข้ามา เมื่อความคิดยุติลงร่างของเขาก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าเจ้าพนักงานขายตั๋วบริเวณห้องจำหน่ายตั๋ว
“รถไฟยังไม่มาอีกหรือ?” เขาเอ่ยปากถามเจ้าหน้าที่
“อีกนาน รอไปก่อน พอดีมีรถไฟพานิชต้องสับรางรอที่ศรีเกษโน้น” หญิงสาวหน้าตาดีวัยสามสิบกว่าๆ ตอบอย่างไม่สบตาผู้ถามและสภาพง่วงนอนเต็มทน
“นี่มัน...เลยเวลาแล้วครับ”
“เลยเวลงเวลาอะไรกัน รถไฟมันก็มีช้าบ้าง สลับรางกันบ้าง รถไฟพานิชบ้าง จะเอาอะไรแน่นอนกับมันไม่ได้ มันมีมาให้ขี่ฟรีก็ดีขนาดไหนแล้ว”
“แต่............” เขากำลังจะถามต่อ เจ้าหน้าที่หน้าสวยก็พลันพูดขึ้นก่อน ทำให้เขาหยุดพูดในทันที
“กลับไปรอที่เดิม.........เดี๋ยวมันมาจะประกาศบอกเสียงตามสาย” เขาพูดพร้อมกับลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินลับหายไปในห้องเล็กๆ โดยไม่ไยดีต่อร่างของชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าเพื่อรอคำอธิบายหรือคำตอบที่มากกว่าคำว่า “รอ”
๐๑.๓๓ น. บรรยากาศที่ชานชาลาเริ่มเคลื่อนไหว และเสียงประกาศจากสถานีดังขึ้นเป็นระยะ ๆ ก่อนที่รถไฟจะจอดเทียบที่ชานชาลา และค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ มุ่มหน้าสู่กรุงเทพฯ พร้อมกับค่อยๆ เลือนหายไปจากรางในความมืดของค่ำคืน
ไม่มีความเห็น