ทางมหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดทำแบบสอบถามเพื่อสอบถามความคิดเห็นของบุคลากรเกี่ยวกับ(ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการข้อตกลงการปฎิบัติงานของบุคลากรในมหาวิทยาลัย ผ่านทางเว็บไซต์ภายในของมหาวิทยาลัย1 ก่อนที่จะนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภามหาวิทยาลัยต่อไป แน่นอนว่า การจัดทำแบบสอบถามดังกล่าวเพื่อที่จะได้ "รับฟัง" ข้อมูลอย่าง"ครบถ้วนรอบด้าน" ประกอบการพิจารณาของมหาวิทยาลัยก่อนที่จะพิจารณาและประกาศใช้ระเบียบดังกล่าว
ปัญหาของเรื่องนี้ โดยหลักแล้ว น่าจะอยู่ที่ ความเข้าใจของเรื่องนี้ แตกต่างกัน เป็นไปได้ใน ๓ กรณี คือ (๑) ความเข้าใจในเป้าหมายของการทำ PA ที่คลาดเคลื่อนไป จาก การพัฒนาศกัยภาพบุคลากร กลายเป็น เครื่องมือในการติดตามงาน โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนา ศักยภาพของบุคลากร (๒) อาจจะเป็นเพราะ ทางมหาวิทยาลัย กำหนดให้มีการทดลองจัดทำ PA และให้แนวทางในการทำงานแบบกว้างๆ โดยมักจะเน้นถึง ผลลัพธ์ และ การประเมิน อาจจะส่งผลต่อการสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน (๓) หรือ อาจจะเป็นเพราะยังไม่มีเครื่องมือหรือแนวปฎิบัติที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ เพื่อต้องการตอบโจทย์ของมหาวิทยาลัย ทุกส่วนงานจึงกำหนดวิธีการในการทำงานตามความเข้าใจของตนเอง ซึ่งอาจะทำให้คลาดเคลื่อนจากเป้าหมายที่แท้จริง
ผู้เขียน มีข้อเสนอต่อเรื่องนี้ใน ๕ ข้อ ในการจัดทำร่างระเบียบข้อตกลงการปฎิบัติงาน (PA) เพื่อตอบสนองต่อการพัฒนาศักยภาพบุคลากร เกิดการทำงานที่มีความสอดคล้องระหว่างกัน และ มีผลต่อการพัฒนาศักยภาพแบบต่อเนื่อง
(๑) พัฒนากลไกหรือกระบวนการเพื่อสร้างความเข้าใจและความเป็นเอกภาพของการทำงาน และ ทำให้เกิดทิศทางของการทำงานที่มีความสอดคล้องระหว่างมหาวิทยาลัย ส่วนงาน และ หน่วยงานภายในส่วนงาน
๑.๑ กลไกการจัดทำ PA จากมหาวิทยาลัย มายัง ส่วนงาน (คณะ สถาบัน) มายังหน่วยงานภายใน
๑.๒ กลไกการประชุมภายในส่วนงานเพื่อร่วมกำหนดทิศทางของการทำงานและร่วมกำหนดผลลัพธ์
(๒) พัฒนาระบบการจัดการและป้องกันความเสี่ยงในการทำงานโดยใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างการทำงาน
๒.๑ จัดทำแบบข้อตกลง โดยมีการกำหนดวิธีการทำงาน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของงาน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความไม่สำเร็จของงานตามที่ตกลง
๒.๒ จัดให้มีกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระหว่างการทำงาน และบันทึกผลการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีการประเมินผลการปฏิบัติงานตามข้อตกลง
(๓) พัฒนาระบบการประเมินที่สอดคล้องกับเป้าหมายในการจัดทำ PA ระบบการประเมินแบบก้าวหน้า
๓.๑ เกณฑ์ในการประเมินผลการปฎิบัติงานของบุคลากรสายวิชาการ
ในกรณีที่มีผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นส่วนใดส่วนหนึ่งสูงกว่าที่ได้ตกลงในข้อตกลง กล่าวคือ (๑) ปริมาณของงาน (๒) คุณภาพของงาน (๓) การพัฒนาต่อยอดและการนำไปใช้ในสังคม (๔) การพัฒนาประชาคมวิจัย1 (๕) พัฒนาระบบการทำงาน ในส่วนที่สูงกว่าข้อตกลง เสนอให้ประเมินในอัตราก้าวหน้า
๓.๒ เกณฑ์ในการประเมินผลการปฎิบัติงานของบุคลากรสายสนับสนุน
ในกรณีที่มีผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นส่วนใดส่วนหนึ่งสูงกว่าที่ได้ตกลงในข้อตกลง กล่าวคือ (๑) ปริมาณของงาน (๒) คุณภาพของงาน (๓) การพัฒนาต่อยอดและการนำไปใช้ในสังคม (๔) การพัฒนาประชาคมวิจัย2 (๕) พัฒนาระบบการทำงาน ในส่วนที่สูงกว่าข้อตกลง เสนอให้ประเมินในอัตราก้าวหน้า
๓.๓ เกณฑ์ในการประเมินสมรรถนะด้านการบริหาร
ให้คำนึงถึง ระบบการสนับสนุนในด้านต่างๆเป็นหลัก และ คำนึงถึง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาระบบการสนับสนุนการทำงานเพื่อให้บรรลุตามข้อตกลง
หากมีการจัดทำแบบประเมินความเสี่ยงของบุคลากรตาม ๒.๑ จะทำให้สะดวกต่อการประเมินผลแบบอัตราก้าวหน้า
หากมีการจัดทำกลไกตามข้อ ๑ และ ข้อ ๒ ถือเป็นการประเมินผลด้านสมรรถนะในระดับ "ดี"
เกณฑ์ในการประเมินสมรรถนะด้านการบริหารเน้นการประเมิน น่าจะประกอบด้วย เกณฑ์ ๕ ด้าน (๑) การพัฒนาระบบหรือกลไกในการสนับสนุนการทำงานของบุคลากรให้เป็นไปตามข้อตกลงหรือสูงกว่าที่ตกลง 3(๒) อัตราความก้าวหน้าหรืออัตราการเติบโตของผลลัพธ์ของการทำงาน (๓) การพัฒนาและการถอดบทเรียนที่ได้มาเป็น "ความรู้" ที่ได้จากการทำงานในระดับส่วนงาน (๔) การต่อยอดผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงาน (๕) การพัฒนาจากประสบการณ์ในการทำงานไปสู่ระบบโครงสร้างต้นแบบ4
โดยแต่ละด้านเสนอให้มีการแบ่งระดับความเข้มข้นของการประเมินเป็น ๓ ระดับ ระดับแรก ระดับที่สอง และ ระดับที่สาม เพื่อใช้เป็นตัวคูรในแบบอัตราก้าวหน้า
ในการประเมินตาม (๑) ถึง (๕) เสนอให้เป็นการประเมินแบบอัตราส่วนก้าวหน้า กล่าวคือ ย่ิงมีความท้าทายมากขึ้น ยิ่งมีค่าระดับคะแนนสูงขึ้นไปด้วยแบบทวีคูณ
(๔) เชื่อมโยงระบบการประเมินที่มีอยู่เพื่อลดความซ้ำซ้อนของระบบการจัดการฐานข้อมูล และ เอื้อต่อการเพิ่มประสิทธิภาพของการประเมินในระบบอื่นๆ
๔.๑ การจัดทำกลไกตาม ๑.๒ เป็นส่วนของ การวางแผน (PLAN) ของการประเมินผลตนเอง SAR
๔.๒ การจัดทำกลไกตาม ๒.๒ เป็นส่วนของการทำงานตามแผน (DO) และ การติดตามการทำงาน (CHECK) ในการประเมินผล SAR
๔.๓ การพัฒนาระบบหรือกลไกสนับสนุนการทำงานจนสามารถพัฒนาไปสู่ "ความเป็นนวัตกรรม" สามารถนำมาใช้ประเมินผลการปฎิบัติงานในส่วนของ SAR ได้
(๕) การพัฒนาระบบแรงจูงใจระดับส่วนงาน
๕.๑ เพื่อทำให้เกิดการแรงจูงใจในการพัฒนาส่วนงานเสนอให้มหาวิทยาลัยกำหนดให้มีการดำเนินการจัดตั้ง "งบประมาณ" เพิ่มเติมจากงบประมาณที่ส่วนงานกำหนดไว้โดยอาจจะกำหนดเป็นสัดส่วนจากงบประมาณที่ส่วนงานแต่ละส่วนงานกำหนดไว้ เช่น จำนวน (อย่างน้อย) ร้อยละ ๑ ของบประมาณที่ส่วนงานตั้งไว้ เพื่อสนับสนุนให้ส่วนงานที่สามารถนำไปใช้ในการต่อยอดผลลัพธ์ในส่วนที่เกิดความสำเร็จและมีแนวโน้มในการพัฒนาไปสู่ความเป็นต้นแบบในการทำานได้ โดยทางมหาวิทยาลัยอาจจะมีการดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเฉพาะในส่วนของประเด็นที่เกิดความสำเร็จ
๕.๒ ในกรณีที่ไม่ได้นำงบประมาณในส่วนนี้มาใช้ อาจจะนำไปสมทบสำหรับปีต่อไปให้กับส่วนงานนั้นก็ได้
ไม่มีความเห็น