๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕
ปีนี้เป็นปีที่ดีอย่างยิ่งเลย สำหรับสัญลักษณ์ของวันดีดีที่สะท้อนถึงการเรียนรู้ในเรื่องความหมายของวันเกิด
ข้าพเจ้าเคยตั้งคำถามต่อตนเองว่า ก่อนที่ข้าพเจ้าจะตาย ในขณะที่ผัสสะยังสามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้นี้ ข้าพเจ้าจะมีโอกาสสัมผัส "สภาวะแห่งมุทิตาจิต" ได้ไหม...
เพราะเคยตั้งสังเกตกับตนเองว่า
เมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งตายไป ผู้คนต่างพากันสรรเสริญในความดีงามของบุคคลนั้น แล้วบุคคลนั้นจะรับรู้ได้หรือไม่ เราไม่มีปัญญามากพอที่จะยืนยันได้ว่ารับรู้หรือไม่รับรู้ ข้าพเจ้าจึงสงสัยต่อไปอีกว่า ทำไมเราจึงไม่ทำในขณะที่บุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่
เมื่อตั้งข้อสงสัยให้กับตนเองเช่นนี้
ข้าพเจ้าก็ไม่รีรอที่จะฝึกฝนตนเองในชีวิตประจำวัน ต่อการชื่นชมและให้คุณค่ากับบุคคลที่อยู่เบื้องหน้า และสัมพันธ์ด้วย ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำตอนบุคคลนั้นตายไป ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะให้บุคคลนั้นได้รับรู้ในขณะที่มีผัสสะหรือสติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยม เพื่อที่จะได้เป็นกำลังใจในวิถีแห่งการดำเนินชีวิต
ค่อนข้างบ้า...ที่จะทุ่มเทในประเด็นนี้
และในปีนี้
ข้าพเจ้าก็ได้เริ่มลิ้มรส "มุทิตาจิตแบบน้อยๆ แบบชิมลาง" จากเหล่ากัลยาณมิตรมากมาย ผ่านสัญลักษณ์แห่งการสื่อสารของวันคล้ายวันเกิด ที่มีปรากฏการณ์แสดงมุฑิตาจิตล่วงหน้าก่อนหนึ่งวัน หรืออีกหลายวัน และบุคคลกลุ่มแรกที่ทำคือ เด็กๆ ต้นกล้าใสใส (ของขวัญวันเกิด...พลังใจอันใสใส) ที่กล้าก้าวเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่ดีงาม ให้การมุฑิตาจิตต่อข้าพเจ้าก่อนใครเพื่อน
หรือหากจะนับจริงๆ น่าจะเป็นคุณทิมดาบ ที่มอบการแสดงออกนี้ก่อนใครเพื่อนเมื่อวัน งานมหกรรม R2R ครั้งที่ 5 ที่ผ่านมา
การฝึกฝนเช่นนี้...ทำเรื่อยๆ ทำแล้วเราจะพบว่า "ธรรมชาติที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราต่างมีคุณค่ามีความหมาย"
เมื่อใจเราเปิดออกและมองเห็นเช่นนั้น
เราจะสามารถใช้ศักยภาพที่มีอยู่แห่งความเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มที่ ด้วยพลังแห่งความตื่นรู้และเบิกบาน
ไม่มีความเห็น