ก้าวสู่ศตวรรษที่ 21
ศตวรรษที่ 21 ที่มนุษยชาติกำลังรอคอยและเตรียมตัวเพื่อก้าวไปถึงนั้น ถือได้ว่าเป็นศตวรรษแห่งการหลอมรวมวัฒนธรรม ประชาคมโลกจะสร้างความร่วมมือในทุกระดับภูมิภาคเพื่อขยายฐานอำนาจและเพิ่มพลังการต่อรองระหว่างกัน การขับเคลื่อนทุกหน่วยสังคมจะมุ่งสู่ความเป็นหนึ่งเดียว วัฒนธรรมที่แตกต่างจะใกล้ชิด ความขัดแย้งจะได้รับการทบทวนแก้ไข ค่านิยมเก่าจะถูกล้มล้างแล้วครอบงำด้วยค่านิยมใหม่ และการศึกษาแบบดั้งเดิมย่อมถูกเปรียบเทียบและวิพากษ์โดยนวัตกรรมทางการศึกษา ก็เมื่อโลกกำลังจะก้าวสู่ความเป็นหนึ่งเดียว และวัฒนธรรมเดียวเช่นนี้ รูปแบบและวิธีการจัดการศึกษาแบบ “ไทยเดิม” ก็ยากที่จะดำเนินต่อไปได้
เมื่อผู้เรียนไม่ใช่แบบเดิมที่เคยรู้จัก
คำถามหรือ “โจทย์การพัฒนา” ที่นักการศึกษาควรถามตนเองเป็นอันดับแรกคือ “เรารู้จักผู้เรียนของเรามากน้อยเพียงใด” การรู้จักผู้เรียนคือการศึกษาประวัติ การสังเกตพฤติกรรมและความคิดของผู้เรียนเพียงแค่นั้นก็หาไม่ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือ เราจำเป็นต้องเข้าใจภูมิหลังด้านโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรม ที่ขัดเกลาและหล่อหลอมอัตลักษณ์ของผู้เรียนไทยในปัจจุบันขึ้นมาด้วย McCoog (2008: online) ได้กล่าวถึงลักษณะของผู้เรียนในโลกปัจจุบันสรุปได้ว่าเป็นกลุ่ม generation y ซึ่งหมายถึงผู้เรียนที่เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1980-1990 และผู้เรียนที่เกิดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 เป็นต้นมาจัดว่าเป็นกลุ่ม generation z ผู้เรียนทั้งสองกลุ่มได้รับอิทธิพลจากโครงข่ายอินเทอร์เน็ตหรืออาจจะเรียกได้ว่ามี “วัฒนธรรมดิจิตอล” พวกเขามีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ที่เชื่อมโยงกับโลกภายนอกห้องเรียนในลักษณะที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และตระหนักว่าตนเองเติบโตขึ้นในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี รวมทั้งสามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นพัฒนาทักษะต่างๆ ในการเอื้อประโยชน์และอำนวยความสะดวกให้กับชีวิตของตนเองได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้เรียนจึงมีแนวโน้มด้านค่านิยมที่จะปฏิเสธชั้นเรียน ที่มีลักษณะการจัดการเรียนการสอนด้วยการบรรยายแบบดั้งเดิม (traditional lecture-based classroom) จากแนวคิดดังกล่าว ครูจึงต้องปรับเปลี่ยนการจัดการเรียนการสอนของตนเองคือ หันมาสอนด้วยโดยใช้ “วิธีที่ผู้เรียนเรียนรู้” (teach in the way they learn) และสนับสนุนให้ผู้เรียนใช้ทักษะในศตวรรษที่ 21 ที่ผู้เรียนมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะด้านเทคโนโลยีและการใช้ e-communication เพื่อนำไปสู่การสร้างความคิดใหม่ ประเมินและวิเคราะห์ปรากฏการณ์ต่างๆ รวมถึงประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตประจำวัน เช่นนี้ ชั้นเรียนแบบเดิมก็จะพลันเปลี่ยนมามีคุณค่าและมีความหมายต่อชีวิตของพวกเขามากยิ่งขึ้น
เมื่อเป้าหมายเปลี่ยนแปลงไป
นักการศึกษาไม่อาจลืมว่า นอกจากจะต้องปรับเปลี่ยนการศึกษาให้สอดคล้องกับธรรมชาติของผู้เรียนที่เปลี่ยนไปแล้ว สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงความคาดหวังและความต้องการของ สังคม ที่การศึกษารับผิดชอบอยู่ด้วย ในประเด็นนี้ นักการศึกษาคนสำคัญในปัจจุบันคนหนึ่ง คือ Stephen R. Covey (2008: 23-31) ได้กล่าวถึงความคาดหวังหรือ “ศักยภาพ” ในตัวผู้เรียนของผู้ปกครองและผู้นำทางเศรษฐกิจไว้ในหนังสือ “The leader in me” โดยเฉพาะกลุ่มแรกคือ ผู้ปกครองนั้น Covey เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของระบบเศรษฐกิจและวิถีชีวิตแบบใหม่ เป็นสาเหตุให้ผู้ปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปเอเชีย หันมาพิจารณาการศึกษาของบุตรหลาน มากยิ่งขึ้น ด้วยการเรียกร้องให้จัดการศึกษาเพื่อเน้นศักยภาพ 4 ด้านที่สำคัญ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตในสังคมใหม่ ประกอบด้วย
1. เทคโนโลยี (technology) ผู้ปกครองต้องการให้บุตรหลานมีทักษะและความชำนาญในการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย
2. ทักษะโลก (global skills) ผู้ปกครองเห็นว่า บุตรหลานควรได้รับการเตรียมความพร้อมในการเผชิญสังคมและโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงและซับซ้อนขึ้น อาทิ วิธีการสื่อสารและการปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งอาจมีภูมิหลังและประสบการณ์แตกต่างกัน
3. ทักษะการวิเคราะห์และทักษะชีวิต (analytical and life skills) ผู้ปกครองต้องการให้ผู้เรียนมีศักยภาพมากกว่าการมีเพียงความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ กล่าวคือ ผู้เรียนควรจะมีทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์และการทำงานเป็นทีม
4. ค่านิยมเอเชีย (asia values) ผู้ปกครองเอเชียกังวลต่อความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็ว จึงประสงค์จะให้บุตรหลานได้รับการปลูกฝังค่านิยมเพื่อมิให้ลืมรากฐานของบ้านเกิด ซึ่งกำลังอ่อนแอเนื่องมาจากความซับซ้อนของโลก ค่านิยมนี้ฝังแน่นอยู่ในวัฒนธรรมและประเพณีเอเชียที่สืบทอดมาอย่างยาวนาว เช่น ความซื่อสัตย์ ความเคารพนับถือกันและกัน และความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของสมาชิกในครอบครัว
การให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสามารถในการคิด และการแก้ปัญหาของผู้เรียนไทย ยังเห็นได้จากแนวคิดของ สิปปนนท์ เกตุทัต นักการศึกษาคนสำคัญของไทย ซึ่งเป็นประธานของคณะศึกษาข้างต้น ที่ได้กล่าวถึงเป้าหมายการปฏิรูปการเรียนรู้ไว้ว่า มุ่งให้คนไทยคิดเป็น คิดชอบ แก้ปัญหาเป็น แก้ปัญหาชอบ ทำเป็น ทำชอบ และทำให้กระบวนการศึกษาเป็นการพัฒนาคนอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงชีวิต นับแต่การวางรากฐานพัฒนาการของชีวิต การพัฒนาความรู้และทักษะพื้นฐาน การเสริมสร้างสมรรถนะของคนไทยให้สามารถก้าวทันโลก และการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เกิดขึ้นนอกสถานศึกษา (สิปปนนท์ เกตุทัต, 2539 อ้างถึงใน เสรี พงศ์พิศ, 2549: 112) ด้วยเหตุนี้หากประมวลความมุ่งหมายในการจัดการศึกษา สำหรับการก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ก็อาจสรุปได้ว่า น่าจะมุ่งเน้นไปที่ “4 เก่ง” คือ เก่งสื่อสาร เก่งคิด เก่งคน และเก่งชีวิต
บทสรุป
การก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 นั้น ผู้เรียนในปัจจุบันได้ปฏิบัติไปแล้วเป็นส่วนมาก ที่ยังต้องพัฒนาก็คือ ระบบการศึกษา ที่จะขยับขับเคลื่อนไปทางใดก็ยังคงลำบาก จึงเป็นเหตุให้การศึกษาก้าวไม่ทันผู้เรียน หากจะก้าวนำผู้เรียนให้ได้ การศึกษาก็คงจะต้องต้องใช้พลังทั้งหมด ความเห็นร่วมทั้งหมด และสังคมทั้งหมดมากำหนดเป้าหมายของศตวรรษที่ 21 เสียใหม่ ด้วยการรู้เท่ากันว่าผู้เรียนยุคใหม่เรียนรู้ด้วยวิธีการใด สนใจในสิ่งไหนและมีวิธีมองโลกและชีวิตอย่างไร และนำพื้นฐานนี้มาปรับการศึกษาให้สอดคล้องกับเป้าหมายใหม่แห่งอนาคต ที่มิได้มุ่งเน้นแต่วิชาการที่ไร้ความหมาย แต่เป็นทักษะการใช้ชีวิตอย่างมีปัญญา คือ เก่งสื่อสาร เก่งคิด เก่งคน และเก่งชีวิต
ไม่มีความเห็น