พรอันสูงสุด ๔ The Ultimate Gift


การเดินทางอาจยาวนานหรือแสนสั้น ทั้งหมดต้องเริ่มจากจุดแรก คือ ค้นหาตัวเอง

พรอันสูงสุด The Ultimate Gift (ตอนที่ ๔)   

จิม สโตวอลล์  เขียน / SIHM  แปล / สนพ.มูลนิธิโกมลคีมทอง / ๒๕๕๔ /๑๕๖ หน้า

ครอบครัวกิจพานิชพิมพ์แจกเป็นวิทยาทาน

 

          พรข้อที่ ๑๑ พรแห่งชีวิตประจำวัน (แก่นแท้ของชีวิตก็คือเวลาทีละวันที่ต่อเนื่องกันไป วันนี้คือวันสำคัญที่สุด!)

         “เจสัน ระหว่างสามสิบวันต่อจากนี้ ปู่อยากให้เธอวางแผนว่าจะใช้เวลาในวันสุดท้ายของชีวิตเธออย่างไร ตอนสิ้นเดือนปู่ขอให้เธอบอกรายละเอียดกับคุณแฮมิลตัน ปู่คิดว่าเธอจะสามารถพบว่าจะบรรจุชีวิตทั้งหมดลงมาเป็นวันหนึ่งวันได้อย่างไรและหวังว่าเธอจะค้นพบสิ่งเดียวกับที่ปู่ค้นพบมาแล้วว่า เราไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต เพื่อจะเริ่มดำเนินชีวิตแต่ละวันให้เต็มที่”

          ตอนสิ้นเดือน เจสัน สตีเวนส์ได้เข้ามาในสำนักงาน และรายงานว่า “...สิ่งที่ผมพบว่าน่าทึ่งมากก็คือความจริงที่ว่า สิ่งที่ผมต้องการทำมากที่สุดในวันสุดท้ายของชีวิตก็เป็นเพียงสิ่งที่ปกติธรรมดานั่นเอง...วันสุดท้ายในชีวิตของผม ผมอยากจะตื่นแต่เช้า เพราะไม่มีเวลาจะมาชักช้าได้อีกแล้ว ก่อนลุกจากเตียงผมจะทบทวนรายการสิ่งที่ผมต้องขอบคุณและสร้าง “รายการทอง” ในสมองของผม แต่ต่างจากเดือนที่แล้วซึ่งเรากำหนดเรื่องที่จะขอบคุณไว้เพียงสิบสิ่ง ในวันสุดท้ายนั้นผมอยากจะเพิ่มอีกหลายอย่างเข้าไปในรายการทอง เพื่อขอบคุณ”

          “ผมอยากจะรับประทานอาหารเช้าที่หน้าลานบ้านกับกลุ่มเพื่อนสนิท ผมอยากบอกเขาว่าพวกเขามีความหมายสำหรับผมเพียงใดและอยากจะมอบของขวัญแก่เขาแต่ละคนเป็นคู่มือเพื่อดำเนินชีวิตแต่ละวันและตลอดชีวิตอย่างมีคุณค่ามากที่สุด”

          “หลังอาหารเช้า ผมอยากจะโทรศัพท์ถึงหลายๆ คนที่เป็นคนพิเศษสำหรับผม เช่น กัส คอลด์เวลล์ในเทกซัส ผู้คนที่ห้องสมุดเรด สตีเวนส์ในทวีปอเมริกาใต้ เด็กผู้ชายทั้งหมดในบ้านเด็กกำพร้ารัฐเมน และคนอื่นๆ อีกหลายคน ผมอยากโทรศัพท์ถึงญาติพี่น้องและคนอื่นๆ ที่ผมเคยมีความสัมพันธ์ไม่ดีนักกับพวกเขา ผมอยากจะบอกพวกเขาแต่ละคนว่า ผมขอโทษสำหรับอะไรก็ตามที่เป็นข้อบาดหมางระหว่างเรา และผมจะขอพวกเขาให้ทำสิ่งที่ผมกำลังทำด้วย นั่นคือ การเก็บความทรงจำที่ดีๆ ไว้ และปลดปล่อยความทรงจำที่ไม่ดีไปเสีย”

          “สำหรับอาหารกลางวัน ผมอยากไปรับเพื่อนของผมไบรอัน เพื่อไปยังภัตตาคารที่เขาโปรดปรานและซื้อทุกอย่างที่เขาต้องการ ผมจะขอให้เขาเล่าความใฝ่ฝันในชีวิตของเขาให้ผมฟังด้วย”

          “ระหว่างช่วงบ่าย ผมอยากจะสนุกร่าเริงกับบางอย่างที่พอใจและเรียบง่ายรวมถึงการเดินเล่นในสวนสาธารณะ ด้วยความหวังว่าจะได้เดินกับเด็กผู้หญิงจากโรงพยาบาลที่ชื่อว่าเอมิลี่ที่ผมพบเขาเมื่อต้นปีนี้ ต่อด้วยการไปเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะและออกไปแล่นเรือใบรอบๆ อ่าวบอสตัน”

          “หลังจากนั้นในตอนเย็น ผมอยากจัดงานเลี้ยงพิเศษสำหรับเพื่อนๆ ทุกคนและเพื่อนๆ ของพวกเขาด้วย และแน่นอนผมต้องการที่จะให้คุณทั้งสองอยู่ที่นั่นด้วย เมื่องานเลี้ยงจบผมอยากจะขึ้นเวทีและแบ่งปันของขวัญที่คุณปู่เรด สตีเวนส์มอบให้ผม ผมอยากให้ทำการบันทึกภาพวิดีโอเอาไว้ เพื่อความฝันของผมที่จะแบ่งปันของขวัญประเสริฐนี้กับบรรดาเยาวชนเหมือนกับผม จะได้ดำเนินต่อไปเมื่อผมตายไปแล้ว”

          “มีอีกหลายสิ่งที่ผมคิดจะทำ ทุกอย่างล้วนแต่ดีๆ แต่ผมคิดว่าที่รายงานมานี้เป็นสิ่งที่ผมสามารถทำได้ในวันสุดท้ายของผม”

          “เจสัน ฉันไม่สามารถคิดทางอื่นที่ดีกว่านี้สำหรับการใช้วันสุดท้ายของชีวิต ฉันคิดว่าเราเห็นพ้องกันว่า เธอเข้าใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์ถึงสิ่งที่คุณปู่เรดมีในสมองของเขาเกี่ยวกับพรแห่งชีวิตประจำวัน”

          พรข้อที่ ๑๒ พรแห่งความรัก  (ความรักคือสมบัติที่เราไม่สามารถหาซื้อได้ ทางเดียวที่เราจะเก็บรักษาความรักไว้ได้ ก็คือ ต้องมอบความรักให้คนอื่น)

          ภาพของเรดปรากฏบนจอภาพใหญ่  เริ่มพูดว่า “เจสัน ปู่ขอแสดงความยินดีกับเธอ ที่ได้เดินมาถึงขั้นสุดท้ายของพรอันสูงสุดที่ปู่เตรียมไว้ไห้ ปู่ภูมิใจมากที่เธอได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับพรแห่งชีวิตประจำวันในเดือนที่แล้ว ปู่ไม่รู้ว่าเธอวางแผนอะไรสำหรับวันสุดท้ายของเธอ แต่ปู่ก็รู้ว่ามันเป็นที่ยอมรับของคุณแฮมิลตัน...”

          “เมื่อเราดำเนินชีวิตแบบที่ควรจะเป็น ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะมีระเบียบลงตัวแบบที่เราคงจะไม่เปลี่ยนไปในวันสุดท้ายของชีวิต ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า คนเราไม่มีใครเลยที่ได้รับหลักประกันว่าจะมีชีวิตยืนยาว หลักประกันของเรามีเฉพาะวันนี้วันเดียว   ปู่ยังคิดด้วยว่า ถ้าเธอพิจารณาดู เธอจะตระหนักว่าเรื่องที่เธอวางแผนจะทำในวันสุดท้ายของชีวิตนั้น ไม่มีเรื่องไหนเลยที่เธอจะทำไม่ได้ในวันนี้หรือพรุ่งนี้  ปู่รู้สึกว่า ข้อที่น่าเศร้าในชีวิตมักเกิดจากการละเลยสิ่งที่น่าชื่นชมและการมีเมตตาจิตเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าความล้มเหลวในเรื่องใหญ่ๆ มากนัก”

         “เจสัน ในเดือนสุดท้าย ปู่กำลังจะเสนออีกส่วนหนึ่งของพรอันสูงสุดแก่เธอ มันเป็นพรที่ครอบคลุมพรอื่นๆ รวมทั้งสิ่งดีๆ ทุกอย่าง ที่เธอจะทำ มี และรู้ในชีวิตของเธอ นั่นคือ พรแห่งความรัก”

         “สิ่งใดที่ดี  น่ายกย่องและน่าปรารถนาในชีวิต ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความรัก สิ่งที่เลวหรือชั่วร้ายไม่ดีนั้นเป็นชีวิตที่ปราศจากความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง ความรักเป็นศัพท์ที่ถูกนำมาใช้อย่างผิดๆ หรือใช้อย่างฟุ่มเฟือยในสังคมของเรา มันกลายเป็นความไม่จริงจังหรือการไล่ล่า แต่ความรักที่ปู่พูดถึงในพรแห่งความรักนั้นเป็นความดีภายในมนุษย์ที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของทุกสิ่ง เมื่อมีความรักเป็นศูนย์กลาง”

         “เนื่องจากความรักเป็นส่วนหนึ่งของพรข้ออื่นๆ ที่เธอได้มีประสบการณ์ตลอดปีที่ผ่านมา ในระหว่างสามสิบวันข้างหน้า ปู่อยากให้เธอสำรวจว่าความรักเกี่ยวข้องกับพรข้ออื่นๆ อย่างไรและเตรียมแบ่งปันสิ่งที่เธอค้นพบกับคุณแฮมิลตัน โปรดระลึกว่า ท่าทีและความประพฤติของเธอยังต้องรับการพิจารณาตัดสิน หากเธอล้มเหลวแม้ในเดือนที่สิบสอง เธอจะไม่ได้รับพรอันสูงสุดทั้งหมดที่ปู่เตรียมไว้ให้...”

          วันสิ้นเดือน มิสเฮสติ้งส์พาเจสันเข้ามาในห้องทำงานของผม เจสันเริ่มพูดขึ้นว่า “ผมไม่รู้จะหาคำพูดใดมาบรรยายว่ากระบวนการตลอดปีที่ผ่านมามีความหมายอย่างไรสำหรับผม ผมไม่เหมือนคนเดิมที่เคยเป็นเมื่อปีก่อนในหลายแง่มุม ผมรู้สึกเหมือนกับว่า วันนี้เป็นวันเกิดของผม ผมอยากจะขอบคุณคุณทั้งสองที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้”

          “ระหว่างเดือนแรกของปีนี้ ผมโกรธ ไม่พอใจมากที่ไม่ได้รับมรดกเหมือนคนอื่นๆ ในครอบครัว และผมยิ่งขัดใจขึ้นอีกเมื่อรู้เรื่องพรอันสูงสุด ซึ่งตอนนั้นผมเห็นว่าเป็นแผนบ้าๆ ที่ต้องทำตลอดทั้งปี หลังจากนั้น ผมพบตัวเองกำลังเรียนรู้พรแห่งการทำงานกับกัส คอลด์เวลล์ ในเทกซัส  ในเวลานั้น ความรักยังอยู่ห่างไกลจากความคิดของผม เมื่อกัส คอลด์เวลล์ สั่งให้ผมขุดหลุมและปักเสารั้ว แต่เมื่อผมมองย้อนหลัง ผมตระหนักแล้วว่า คุณคอลด์เวลล์มีความรักที่ยิ่งใหญ่ให้คุณปู่เรด และถ่ายทอดความรักนั้นมาที่ผมด้วย เขารักผมมากพอที่จะสอนจนมั่นใจว่า ผมได้เรียนรู้บทเรียนทั้งหมดซึ่งคุณปู่เตรียมไว้ให้ในพรแห่งการงาน ผมยังเรียนรู้ด้วยว่า มีความรักที่มาจากการทำงานอย่างดี เมื่อคุณย้อนไปดูหลังการทำงานหนักๆ ที่ยาวนานในแต่ละวัน และคอยมองตะวันตกเหนือรั้วที่เป็นแนวตรงและแข็งแรงที่คุณทำขึ้นด้วยตนเอง คุณจะเกิดความรู้สึกดีกับโลกนี้”

           “ระหว่างเดือนที่ผมต้องเรียนรู้พรแห่งเงินตรา ผมเรียนรู้ว่าการรักเงินนำไปสู่ความกลวง ชีวิตที่ว่างเปล่า แต่เมื่อคุณรู้จักรักคนอื่นและใช้เงินถูกทาง ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างเหมาะสม”

           “ระหว่างเรียนรู้พรแห่งการมีเพื่อน ผมได้เรียนรู้การรักผู้อื่นในแบบที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน หากคุณมัวแต่ห่วงเรื่องของตัวเอง คุณก็มักจะไม่พอใจอยู่เสมอ แต่เมื่อคุณคิดถึงคนอื่นและความเป็นอยู่ที่ดีของคนอื่นก่อน ทุกอย่างก็ออกมาดีที่สุดสำหรับคุณเองและพวกเขาด้วย”

          “ระหว่างเดือนของพรแห่งการเรียนรู้ ผมได้ค้นพบว่า คนที่ไม่มีทรัพย์สมบัติแต่มีไฟปรารถนาที่จะเรียนรู้และมีความรักอย่างแท้จริงที่จะเรียนรู้นั้นเป็นคนมั่งคั่ง นั่นทำให้ผมเริ่มรักในความรู้ ผมไม่อยากเชื่อเลยว่า ที่ผ่านมาตัวเองช่างถือดีถึงขนาดไม่สนใจปรีชาญาณของผู้อาวุโสและเอาแต่เดินไปตามทางแห่งความพินาศของตัวเอง”

           “พรแห่งปัญหาสอนผมว่า  อุปสรรคไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการเผชิญหน้าสิ่งท้าทาย เมื่อปีก่อน ผมมองปัญหาว่าเป็นสิ่งที่เลวทั้งหมด และต้องขจัดมันออกไปหรือไม่ก็ไม่ต้องสนใจมัน แต่เมื่อคุณมองปัญหาของคุณด้วยเจตนาแห่งความรัก คุณจะตระหนักว่า มีการออกแบบที่ยิ่งใหญ่สำหรับโลกใบนี้ และปัญหาที่คุณพบก็คือบทเรียนที่ออกแบบมาสำหรับสอนคุณให้เป็นคนที่ดีขึ้น”

           “ขณะที่เรียนรู้พรแห่งครอบครัว ผมได้เรียนรู้ว่า ครอบครัวที่แท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีความรัก กลุ่มคนสามารถกลายเป็นครอบครัวเมื่อพวกเขาเติมความรัก เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างกัน หากปราศจากความรัก ครอบครัวก็เป็นเพียงกลุ่มคนที่อยู่ในสายตระกูลเดียวกันเท่านั้น”

           “พรแห่งการหัวเราะสอนผมว่า เพื่อที่จะรักชีวิต คุณต้องพอใจในการดำเนินชีวิตของคุณ และเมื่อไหร่คุณสามารถหัวเราะกับสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ดูว่าแย่ คุณจะเริ่มรู้สึกถึงความรักที่ชีวิตเสนอให้อย่างแท้จริง”

           “ระหว่างที่ผมทำการสำรวจพรแห่งความฝัน ผมได้เข้าใจว่า เราได้รับชีวิตมาพร้อมกับจิตสำนึกแห่งความรักต่อทุกๆ อย่างรอบตัวเรา ไฟแห่งความปรารถนา ความฝัน และเป้าหมายของเรา ล้วนเป็นการแสดงออกมาภายนอกของความรักที่มาจากภายใน”

           “ก่อนที่ผมจะมีประสบการณ์กับพรแห่งการให้ ผมคิดว่าถ้าคุณให้บางอย่างออกไป คนที่เราให้ก็เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านั้นและคุณก็มีน้อยลงกว่าเดิม แต่ในความเป็นจริง เมื่อคุณให้ไปด้วยความรัก ทั้งผู้ให้และผู้รับก็จะมีมากกว่าเมื่อตอนเริ่มต้น”

           “พรแห่งความกตัญญูรู้คุณสอนผมว่า เราสามารถรู้สึกและมีประสบการณ์ความรักจริงๆ เมื่อเราจดจำและมีความสุขกับสิ่งน่าอัศจรรย์ใจที่พวกเราได้รับ”

           “และสุดท้าย ระหว่างเรียนรู้พรแห่งชีวิตประจำวัน ผมได้เรียนรู้ว่า หากผมมีเพียงยี่สิบสี่ชั่วโมงเหลืออยู่ที่จะดำเนินชีวิต ผมอยากจะรู้สึกและมีประสบการณ์ความรักให้มากเท่าที่จะทำได้ และส่งผ่านความรักต่อไปให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้”

          “ถ้าผมจะพยายามให้คำจำกัดความของพรแห่งความรักในแบบที่สัมผัสได้ ผมต้องยกตัวอย่างสิ่งที่คุณปู่เรดทำเพื่อผมและให้ผมระหว่างปีที่ผ่านมา เมื่อเรารักใครจริงๆ ความรักของเราทำให้เราเองเปลี่ยนเป็นคนละคน และทำให้คนที่เรารักเปลี่ยนเป็นคนละคนด้วย  ความรักที่คุณปู่เรดมีต่อผม ด้วยการให้พรอันสูงสุดแก่ผมนั้น ได้เปลี่ยนชีวิตผมและความเป็นตัวผมไปตลอดกาล”

          เจสันลุกขึ้นยืนและสวมกอดมิสเฮสติ้งส์ เขาเดินอ้อมโต๊ะมาสวมกอดผมเช่นกัน เขาขอบคุณเราทั้งสองคนสำหรับทุกสิ่ง และบอกเราว่า เขารอคอยวัน เวลาที่จะติดต่อกับเราในอนาคต

          “ในฐานะที่ฉันเป็นทนายความของคุณเรด สตีเวนส์ และเป็นผู้จัดการมรดกของเขา ฉันสามารถบอกเธอได้ว่า เขายังมีมรดกสุดท้ายในพินัยกรรมของเขา มรดกนี้จะพร้อมเมื่อได้ทำตามเงื่อนไขทุกข้อแล้ว ในฐานะผู้ตัดสินชี้ขาดเงื่อนไขแต่ละข้อ ฉันสามารถบอกได้ว่า เธอทำตามเงื่อนไขทุกข้อสำเร็จแล้ว และดีเกินคาดเสียด้วย”

           ชั่วครู่ต่อมา เรด สตีเวนส์ ปรากฏบนจอภาพและเริ่มพูด “ปู่อยากจะบอกกับเธอว่า ปู่ภูมิใจในตัวเธอแค่ไหน เธอได้ทำให้ส่วนประกอบแต่ละส่วนของพรอันสูงสุดสมบูรณ์และได้รับแต่ละส่วนของพรนั้นตามที่ปู่เตรียมไว้ให้ ปู่เองยังอยากจะบรรลุพรทั้งสิบสองข้อในชีวิตขณะที่ยังหนุ่มแน่นเหมือนเธอเลย ในเมื่อตอนนี้เธอได้รับพรอันสูงสุดแล้ว เธอไม่เพียงมีอภิสิทธิ์ในพรเหล่านั้น แต่ยังต้องรับผิดชอบที่จะดำเนินชีวิตของเธออย่างเต็มที่ด้วยพรแต่ละข้ออย่างมีสมดุลด้วย นอกจากนี้เธอต้องรับผิดชอบที่จะส่งผ่านพรอันสูงสุดนี้ต่อไปเมื่อสามารถทำได้”

           “เจสัน ชีวิตปู่ได้ทำอะไรมาหลายต่อหลายอย่าง แต่สิ่งที่ดีที่สุดในจำนวนนั้น ก็คือ การส่งผ่านพรอันสูงสุดมาให้เธอ ได้โปรดเถอะอย่าให้ปู่ผิดหวัง จงทำให้พรนี้เจริญขึ้นและเกิดผลทำให้ชีวิตของเธอเป็นส่วนขยายออกไปของพรอันสูงสุดที่เธอได้รับ ถ้าเธอทำทุกอย่างที่ว่า เธอจะเป็นผู้มอบพรอันสูงสุดในแบบของเธอให้แก่ปู่”

           ขณะที่แสงไฟสว่างขึ้น เจสันลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ และพูดขึ้นว่า “ผมจะทำตามที่คุณปู่สั่งเสีย ผมจะใช้ทุกส่วนประกอบของพรอันสูงสุดนี้ และจะหาทางส่งผ่านไปให้คนที่ไม่มีโอกาส คนที่เหมือนกับผมเมื่อปีที่แล้ว ขณะนั้นผมไม่เคยรู้มาก่อนว่า ของขวัญอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราจะให้ใครต่อใครได้ ก็คือ การให้เขาได้รู้จักของขวัญล้ำค่าที่พวกเรามีอยู่ในตัวอยู่แล้ว”  ขณะที่เขากำลังจะก้าวออกจากห้องไป  แต่ถูกยับยั้งไว้เสียก่อน

            คุณแฮมิลตันอ่านเอกสารพินัยกรรมให้เจสันฟังว่า “และสำหรับหลานปู่ เจสัน สตีเวนส์ ปู่ขอมอบกองทุนการกุศลมูลค่าปัจจุบันประมาณกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์ ให้เธอดูแล ในฐานะที่เธอได้แสดงถึงความรับผิดชอบและความสามารถในหลายๆ ด้านของชีวิต เธอจะเป็นผู้ดูแลกองทุนการกุศลนี้แต่เพียงผู้เดียว กองทุนนี้ให้ความช่วยเหลือบ้านเรด สตีเวนส์สำหรับเด็กชาย ห้องสมุดเรด สตีเวนส์ ทุนการศึกษาหลายโครงการ โรงพยาบาลและสถาบันที่มีคุณค่าอื่นๆ อีกหลายแห่ง  ปู่ขอแนะนำหลานให้ใช้สติปัญญาและประสบการณ์ที่เธอได้รับจากพรอันสูงสุด เพื่อจัดการโครงการเหล่านี้และโครงการอื่นๆ ที่เห็นว่าสำคัญ” ................

--------------------------------

            จิม สโตวอลล์   ผู้เขียนเรื่องนี้ เป็นชายตาบอด  เคยเป็นนักกีฬายกน้ำหนักทีมชาติที่ชนะเลิศในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก  ประสบความสำเร็จในฐานะผู้บริหารธุรกิจซื้อขาย เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเครือข่ายโทรทัศน์ที่ผลิตภาพยนต์และละครทีวีที่เข้าถึงผู้ชมตาบอดและสายตาผิดปกติรวมถึงครอบครัวของพวกเขาถึง ๑๓ ล้านคน  เป็นผู้จัดรายการทอร์คโชว์ที่เชิญบุคคลมีชื่อเสียงมาออกรายการ  เขาโดดเด่นไม่แพ้ วอลท์ ดิสนีย์, ออร์สัน เวลส์ และประธานาธิบดีอีกสี่คนของสหรัฐฯ เมื่อเขาได้รับเลือกเป็นหนึ่งใน “สิบคนหนุ่มผู้โดดเด่นของอเมริกา” และ ฯลฯ

หมายเลขบันทึก: 495799เขียนเมื่อ 24 กรกฎาคม 2012 08:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2013 08:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท