ชุมพรเป็นพื้นที่ที่เกิดวาตภัยและอุทกภัยบ่อยครั้ง ทั้งนี้คงมาจากที่ตั้งซึ่งตั้งอยู่ในช่วงที่แคบที่สุดของคาบสมุทรมลายู เป็นจุดที่รับลมจากฝั่งอ่าวไทยโดยตรง และถ้าเกิดฝนตกหนักทางฝั่งอันดามัน น้ำจากทิวเขาตะนาวศรีและภูเก็ตก็จะไหลลงทางฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นที่ตั้งของ จ.ชุมพร ภัยธรรมชาติที่ชาวชุมพรยังคงจดจำได้จนทุกวันนี้ คือ วาตภัยจากพายุเกย์ในปีพ.ศ.๒๕๓๒ และพายุ- ซีตาร์ในปี พ.ศ.๒๕๔๐ จากเหตุการณ์ทั้งสองครั้งทำให้หน่วยงานราชการ บ้านเรือน และเรือกสวนไร่นาของชาวบ้านได้รับความเสียหาย มีผู้คนบาดเจ็บและล้มตาย ถ้าหากไปสอบถามชาวชุมพรที่มีอายุ ๓๐ ปีขึ้นไป ก็สามารถบรรยายถึงเหตุการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากพายุทั้งสองลูกได้เป็นอย่างดี
ก่อนหน้าเหตุการณ์พายุเกย์และซีตาร์มีวาตภัยและอุทกภัยเกิดขึ้นใน จ.ชุมพรบ่อยครั้ง ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เคยเกิดพายุถึง ๗ ครั้ง[1] ในปี พ.ศ.๒๔๑๕, ๒๔๒๒, ๒๔๓๓, ๒๔๔๕, ๒๔๗๒, ๒๕๐๕, และ ๒๕๑๓ ครั้งที่มีความรุนแรงมาก คือ ในวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๒ อำมาตย์เอกพระยาสัจจาภิรมย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้น ได้บันทึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความว่า
ไต้ฝุ่นได้พัดกระหน่ำอย่างหนักในพื้นที่ อ.ท่าตะเภา(อ.เมืองในปัจจุบัน)ในกลางวันของวันที่ ๑๑ ธันวาคม ต่อมาในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ได้เกิดน้ำท่วม น้ำขึ้นสูงเต็มที่ในวันที่ ๑๔ ธันวนคม และค่อยๆลดระดับลงจนเข้าสู่สภาวะปกติในวันที่ ๑๗ ธันวาคม วาตภัยและอุทกภัยครั้งนั้นได้สร้างความเสียหายแก่อาคารสถานที่ต่างๆ เช่น พลับพลารับเสด็จ, เรือนจำ, สถานีรถไฟ และบ้านพักนายอำเภอ เป็นต้น[3]
จากที่กล่าวมาจะเห็นว่าพื้นที่ จ.ชุมพร ประสบกับวาตภัยและอุทกภัยบ่อยครั้ง ความเสียหายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของพายุที่เข้ามาแต่ละลูก ผลกระทบจากพายุแต่ละครั้งสร้างความเดือนร้อนให้แก่ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะประชาชน ซึ่งจะต้องเสียเงินซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหายจากวาตภัยและอุทกภัยครั้งแล้วครั้งเล่า
ในปี พ.ศ.๒๕๔๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานแนวพระราชดำริให้จัดทำ “โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่” เพื่อเป็น แก้มลิงธรรมชาติใช้ในการรองรับน้ำ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยในจังหวัดชุมพร ตั้งแต่มีโครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ทำให้ไม่เกิดปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ อ.เมืองชุมพร อีกเลย ชาวชุมพรทุกคนจึงรู้สึกทราบซึ่งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างยิ่ง
ไม่มีความเห็น