พรอันสูงสุด The Ultimate Gift ตอนที่ ๑
จิม สโตวอลล์ เขียน / SIHM แปล / สนพ.มูลนิธิโกมลคีมทอง / ๒๕๕๔ /๑๕๖ หน้า ครอบครัวกิจพานิชพิมพ์แจกเป็นวิทยาทาน
----------------------
ฮาเวิร์ด เรด สตีเวนส์ มหาเศรษฐี ผู้สร้างตนจากความยากจน ข้นแค้น จนสามารถใช้ความขยัน ความอดทนสร้างตนขึ้นมาอยู่แถวหน้าของสังคม
สุดท้าย เวลาก็นำเขาจากไป คงเหลือไว้แต่เพียงพินัยกรรมที่เขาได้มอบหมายให้ ธีโอดอร์ เจ.แฮมิลตัน วัย ๘๐ ที่เป็นทั้งทนายความและเพื่อนที่มั่นคงพร้อมคุณมาร์กาเร็ต เฮสติ้งส์ ผู้ช่วยของคุณแฮมิลตันเป็นผู้ดำเนินการตามพินัยกรรม
พินัยกรรมถูกเปิดในเช้าวันหนึ่ง ท่ามกลางความรู้สึกคาดหวัง และสายตาที่ฉายแววแห่งความละโมบ โลภมาก ญาติทุกคนต่างได้รับทรัพย์สินตามพินัยกรรม แต่...อย่างมีเงื่อนไขทุกคน เงื่อนไขที่ว่าคือ “...การบริหารจัดการจะยังคงอยู่ในมือของคณะกรรมการบริษัทซึ่งได้รับใช้พ่อมาอย่างดีเป็นเวลาหลายปี เพราะในเมื่อลูกๆ ไม่สนใจงานของบริษัทขณะที่พ่อยังอยู่ พ่อจึงคิดว่าลูกคงไม่สนใจเมื่อพ่อตายไปแล้วด้วย และการปล่อยให้ลูกควบคุมบริษัท ก็คงจะเหมือนกับมอบปืนที่บรรจุกระสุนพร้อมให้กับเด็กอายุ ๓ ขวบ พ่อต้องการให้ลูกรู้ด้วยว่า พ่อได้แนะนำให้คุณแฮมิลตันเขียนพินัยกรรมให้มีเงื่อนไขว่า หากลูกพยายามต่อสู้เพื่อจะบริหารบริษัทเอง หรือทำตัวก้าวก่ายการทำงานของคณะกรรมการ หรือแม้แต่แสดงความไม่พอใจเงื่อนไขการรับมรดกนี้ กรรมสิทธิ์ทั้งหมดจะตกไปเป็นขององค์กรการกุศลทันที...”
ทุกคนแสดงออกด้วยท่าทางไม่พอใจแต่ไม่มีใครกล้าพูด ที่ต่างต้องมีคนดูแล บริหารจัดการ ไม่มีใครที่ได้บริหารจัดการด้วยตนเองเลย เมื่อทราบผลของพินัยกรรมแล้วต่างก็ทยอยกันออกจากห้องไป จนในที่สุดเหลือเพียงหนุ่มเจสัน หลานชาย วัย ๒๔ ปี ซึ่งจ้องมองคุณแฮมิลตันด้วยสายตาเดือดดาล ท้าทาย และลบหลู่ซึ่งมีแต่คน เอาแต่ใจมาตลอดชีวิตเท่านั้นจึงจะทำเช่นนี้ได้ เขาตบโต๊ะเสียงดังและร้องว่า “ผมรู้ว่าตาแก่ขี้เหนียวนั่นคงจะไม่เหลืออะไรไว้ให้ผม เขาเกลียดผมมาตลอด”
สิ่งที่เจสันได้รับจากพินัยกรรมซึ่งถูกจัดทำเป็นพิเศษสำหรับเขาโดยเฉพาะ คือ “...กล่องใบนี้ปู่ของเธอเรด สตีเวนส์ นำมาให้ฉันในวันที่เขาเตรียมพินัยกรรมฉบับสุดท้าย กล่องนี้ถูกผลึกในเวลานั้น และเก็บไว้ในห้องนิรภัยของเรา โดยคำสั่งของคุณสตีเวนส์จนถึงวันนี้ ปู่ของเธอฝากคำสั่งพิเศษกำชับฉันไว้ถึงวิธีที่จะมอบของขวัญนี้ให้เธอ” ในกล่องนั้นมีเทปวีดีโอ ซึ่งมีภาพและเสียงของคุณสตีเวนส์ ที่เขาอัดเอาไว้ก่อนเสียชีวิต
คุณสตีเวนส์ในวัน ๗๕ ปี (ในขณะที่ถ่ายทำ) กล่าวกับหลานของเขาว่า “...เจสัน ปู่มีชีวิตอยู่บนเส้นทางที่ยิ่งใหญ่ ปู่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่หลายอย่าง และก็ทำผิดพลาดใหญ่หลวงมามาก ความผิดพลาดใหญ่โตที่สุดที่ปู่เคยทำมาในชีวิตคือ การให้ทุกอย่างแก่คนในครอบครัวตามที่พวกเขาต้องการ ปู่พยายามจะชดเชยเวลาที่ไม่ได้อยู่กับพวกเขาด้วยการให้วัตถุสิ่งของต่างๆ แต่วิธีนี้กลับทำให้พวกเขาพลาดโอกาสทุกอย่างในการสร้างชีวิตตัวเองเหมือนที่ปู่เคยทำสำเร็จมาแล้ว ด้วยความเสียใจ ปู่คิดว่าพวกเขาคงจะเสียผู้เสียคนไปอย่างถาวรแล้ว เปรียบเหมือนเวลาม้าพยศ เราต้องเอามันออกไปและยิงมันซะ โชคร้ายที่ทนายความของปู่ คุณแฮมิลตันแนะนำว่า การยิงครอบครัวทิ้งทั้งหมดจะนำความไม่พอใจตามมา ดังนั้น ปู่จึงดำเนินขั้นตอนการทำพินัยกรรมเพื่อให้ญาติทุกคนอยู่รอด แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่สามารถเรียนรู้จักชีวิตเลยก็ตาม”
“ส่วนเธอ เจสัน เธออาจจะเป็นความหวังสุดท้ายอันน้อยนิดของครอบครัวเรา แม้ว่าชีวิตของเธอจนถึงขณะนี้จะมีเหตุผลที่น่าเสียใจและทำใจให้หวังได้ยาก แต่ดูเหมือนมีประกายไฟในตัวเธอที่ปู่หวังว่าจะถูกพัดให้ลุกเป็นเปลวเพลิงขึ้นมาได้ ด้วยเหตุนี้ ปู่จึงไม่ให้เธอกลายเป็นมหาเศรษฐีชั่วชีวิตในทันทีทันใด”
“วันแรกของแต่ละเดือนตลอดช่วงหนึ่งปีนี้ ให้เธอมาพบกับคุณแฮมิลตันและมิสเฮสติ้งส์ แล้วเธอจะได้รับสิ่งที่ปู่เรียกว่า พรอันสูงสุดเดือนละหัวข้อ ถ้าเธอมั่นคงอยู่ในหลักสูตรนี้ไปตลอดปีและรับพรไว้ในตัวได้ทุกข้อ นั่นแหละ เธอจะได้รับมรดกชิ้นสำคัญที่สุดเท่าที่ปู่จะมอบผ่านพินัยกรรมได้ แต่ขอให้เข้าใจด้วยว่า ถ้าเธอไม่ทำตามที่ระบุไว้ หรือทำให้คุณแฮมิลตันหรือมิสเฮสติ้งส์ลำบากใจเกินควร ปู่ได้กำชับคุณแฮมิลตันไว้ในพินัยกรรมแล้วว่า ให้หยุดกระบวนการทั้งหมดและตัดหางปล่อยวัดโดยไม่ให้เธอมีอะไรติดมือไปเลย อย่าลืม พ่อหนุ่ม ถ้าเธอทำตัวมีปัญหามากกว่าจะทำตัวมีค่า ซึ่งน่าจะทำได้ไม่ยากสำหรับเธอ คุณแฮมิลตันจะตัดเธอออกไปง่ายๆ โดยไม่มีการเตือนใดๆ ทั้งสิ้น”
วีดีโอจบลง เจสันก็หันมาพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งร้ายว่า “ตาแก่นั่นมันบ้า...เดี๋ยวก่อน ข้อตกลงคืออะไร ทำไมคุณไม่บอกผมว่าเกิดอะไรขึ้น และผมจะได้อะไรบ้าง ? ทำไมเขาไม่ทิ้งเงินไว้ให้ผมเหมือนคนอื่นๆ” คุณเฮสติ้งส์ตอบว่า “เขารักเธอมากเกินกว่าจะทำอย่างนั้น”
พรข้อที่ ๑ พรแห่งการงาน (คนที่รักการงานของตน ย่อมไม่รู้สึกลำบากในการทำงาน)
วีดีโอถูกเปิด พร้อมภาพและเสียงของคุณสตีเวนส์ “...เจสัน เมื่อตอนที่ปู่อายุน้อยกว่าเธอ ปู่ได้เรียนรู้ความสุขที่มาจากคำง่ายๆ ซึ่งประกอบด้วยอักษร ๓ ตัว คือ “งาน” หนึ่งในหลายๆ สิ่งที่ความมั่งคั่งของปู่ปล้นไปจากเธอและลูกหลานทุกคนก็คือ การตระหนักถึงคุณค่าและความสุขจากการทำงานประจำวันอย่างซื่อสัตย์...งานนั้นได้นำทุกอย่างที่ปู่มีมาให้ปู่รวมทั้งทุกอย่างที่เธอมีด้วย ปู่รู้สึกเสียใจที่ไม่เคยเปิดโอกาสให้เธอพบความสุขของการรู้ว่าสิ่งที่เธอมีเป็นผลมาจากน้ำพัก น้ำแรงของเธอเอง”
“เจสัน เธอได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่โลกนี้จะสามารถให้ได้ เธอได้ไปในที่ต่างๆ เห็นทุกอย่าง และทำทุกสิ่ง แต่ที่เธอยังไม่เข้าใจก็คือว่า สิ่งเหล่านี้จะยังคงความสุขอย่างเหลือล้นถ้าเป็นผลจากน้ำพักน้ำแรงของเธอเอง เมื่อใดที่เธอเข้าใจ การพักผ่อนก็จะกลายเป็นรางวัลของการทำงานหนัก ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงการทำงาน พรุ่งนี้เช้า เธอจะต้องเดินทางกับกับคุณแฮมิลตันและมิสเฮสติ้งส์ ไปพบกัส คอลด์เวลล์เพื่อนก่าแก่ของปู่ที่ฟาร์มนอกเมืองแอลไพน์ รัฐเทกซัส...”
ณ ที่แห่งนี้ในสี่สัปดาห์ เจสันถูกฝึกให้ตื่นเช้า รับประทานอาหารก่อนหกโมงเช้าและไปทำงานที่ได้รับมอบหมาย คือ การขุดหลุม ลงเสาและขึงลวดให้เป็นเส้นตรงต่อจากที่กัสได้ทำทิ้งไว้ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผา เหนื่อย และร้อน
ผลปรากฏว่า “...กัสพาเราไปที่ทุ่ง ตรงที่เจสันเริ่มทำงานในวันแรก ผมสังเกตว่าเสารั้วเพิ่มขึ้นเป็นแนวไกลออกไปจากจุดเดิม และมองไม่เห็นเจสันจากตรงนี้ กัสขับไปอีกไกลจนถึงยอดเนินเตี้ยๆ ผมจึงเห็นเจสันแต่ไกล การเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ใจเกิดขึ้นแล้ว ผิวเจสันกลายเป็นสีน้ำตาลเพราะแสงแดด เขาผอมลงจากการใช้แรงงานและกำลังทำงานด้วยความตั้งใจ เมื่อพวกเรามาถึง เขาโบกมือให้เราและเดินเข้ามาหา เขาดูเหมือนจะมีประกายในดวงตา ขณะที่พูดว่า “ใช่ครับ ผมขุดหลุมและตั้งเสาทุกต้นและมันก็ตั้งตรงด้วย”
กัสโอบไหล่เจสันและพูดว่า “ไอ้หนู ฉันเคยไม่แน่ใจว่านายจะทำได้ แต่นายก็กลายเป็นคนดีมีฝีมือได้จริงๆ ฉันและปู่เรดของนายได้ค้นพบเมื่อเกือบ ๖๐ ปีก่อนแล้วว่า ถ้าเราทำงานแบบนี้ได้ด้วยความภาคภูมิใจและมีคุณภาพ เราก็จะทำได้ทุกอย่าง ฉันว่านายสอบผ่านบทเรียนนี้แล้ว ถึงเวลากลับบอสตันเสียที”
พรข้อที่ ๒ พรแห่งเงินตรา (เงินไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากเป็นเครื่องมือ มันเป็นได้ทั้งพลังในทางที่ดี พลังในทางชั่ว หรือไม่ก็เป็นเพียงสิ่งไร้สาระ)
ที่ห้องประชุม วีดีโอถูกเปิด พร้อมภาพและเสียงของเรด สตีเวนส์ “...เจสัน เธอยังไม่รู้ถึงคุณค่าของเงิน นั่นไม่ใช่ความผิดของเธอ มันเป็นความผิดของปู่เอง แต่ปู่ก็หวังว่าในอีก ๓๐ วันข้างหน้านี้ เธอจะเริ่มเข้าใจว่า เงินมีความหมายต่อชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์ในโลกแห่งความเป็นจริงอย่างไร...ปู่รู้ว่า เธอมักจะเริงร่าไปกับเงินจำนวนมากและมักใช้มันอย่างสุรุ่ยสุร่ายเหมือนของเล่น ปู่ขอรับผิดชอบในสิ่งนี้เพราะว่าปู่ไม่ได้เปิดโอกาสให้เธอได้ลิ้มรสและเข้าใจการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมระหว่างเงินกับงาน”
“เดือนที่แล้วเธอเพิ่งจะได้ตระหนักถึงความภูมิใจและอิ่มใจจากการทำงานได้ดี แม้ว่าจะเป็นงานที่ต่ำต้อย...เมื่อเธอออกไปในวันนี้ คุณแฮมิลตันจะมอบซองที่อยู่ในกล่องให้เธอ ในซองจะมีเงินอยู่ ๑,๕๐๐ เหรียญ ตลอดเดือนนี้ ปู่อยากให้เธอออกค้นหาคนห้าคนที่กำลังอยู่ในวิกฤต ซึ่งเงินบางส่วนจาก ๑,๕๐๐ เหรียญ สามารถช่วยให้เขาพ้นวิกฤตได้ ปู่อยากให้เธอสังเกตว่า ความกังวลและการขาดแคลนเงินมีผลกระทบต่อพวกเขาหลายประการ และเมื่อเธอได้ให้เงินแก่พวกเขาแล้ว พวกเขาก็จะนำไปใช้กับเรื่องที่มีความสำคัญอย่างแท้จริงในชีวิตของพวกเขา...”
เจสันรายงานผลในวันก่อนวันสิ้นเดือนว่า “...รายแรก ในช่วงพลบค่ำเขาได้ผ่านกลุ่มเด็กที่กำลังหาทุนทำกิจกรรมด้วยการล้างรถอยู่ที่ลานจอดรถ มันใกล้จะมืดแล้ว และได้รับทราบจากผู้ดูแลเด็กว่า เด็กเหล่านี้เป็นกลุ่มลูกเสือที่กำลังพยายามหาทุนเพื่อไปเข้าค่ายในสัปดาห์หน้า แต่พวกเขายังได้รับเงินไม่พอและต้องมีเด็กหนึ่งหรือสองคนที่จะอดไปเข้าค่าย เขายังขาดเงินอีก ๒๐๐ เหรียญ และจะต้องมีคนเก็บข้าวของออกไปภายในสิบนาทีข้างหน้านี้ ดังนั้นผมจึงเอารถเข้าไปจอดให้เด็กล้าง แล้วให้เงินเด็กๆ ๒๐๐ เหรียญ”
“รายต่อมา ขณะที่ผมจอดรถในห้างสรรพสินค้าผมพบหญิงสาวอุ้มเด็กเล็กๆ ยืนทะเลาะกับชายคนหนึ่งหน้ารถเก่าๆ ผมจึงแวะไปถามได้ความว่า ผู้ชายทำงานให้บริษัทขายรถมือสอง หญิงคนนั้นผิดนัดในการผ่อนชำระสองเดือนแล้ว เธอต้องจ่าย ๑๐๐ เหรียญต่อเดือน หญิงสาวเริ่มร้องไห้และพูดว่า ลูกของเธอกำลังป่วย ถ้าเธอต้องเสียรถไปเธอก็ไม่สามารถไปทำงานได้ และไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเธอ ผมจึงจ่ายเงินที่ค้างอีก ๔ เดือน เป็นเงิน ๔๐๐ เหรียญให้เธอ”
“ผมพบหญิงชรากำลังร้องไห้ เมื่อผมถาม แกบอกว่า แกกับสามีแต่งงานกันมา ๕๗ ปี และนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่แกจนตรอกจริงๆ ค่ารักษาโรคหัวใจแฟนแกตกเดือนละ ๖๐ กว่าเหรียญ และร้านขายยาก็ไม่ยอมรับคูปองอาหารเป็นค่ายา ผมจึงใช้เงิน ๒๐๐ เหรียญซื้อยารักษาโรคหัวใจ เป็นเวลา ๓ เดือน และมอบอีก ๒๐ เหรียญ ให้หญิงชราพาสามีไปทานอาหารกลางวันที่เขาชอบ”
“วันหนึ่ง พบได้พบรถเสียข้างทาง ผมได้ใช้โทรศัพท์มือถือตามรถลาก และช่างบอกว่าต้องเปลี่ยนเครื่อง ยนต์ใหม่ ต้องใช้เงิน ๗๐๐ เหรียญ ไบรอันแทบช็อกเพราะเขาไม่มีเงินเลย ผมจึงให้เงินเขาไป ๗๐๐ เหรียญ”
“รวมผมใช้เงินไป ๑,๘๐๐ เหรียญ ซึ่งผมได้ใช้เงินในส่วนของผมเพิ่มอีก ๓๐๐ เหรียญ”
พรข้อที่ ๓ พรแห่งการมีเพื่อน (คนที่ร่ำรวยจริงๆ คือคนที่รวยเพื่อน ไม่ใช่รวยเงินทอง)
วีดีโอม้วนต่อมาถูกเปิด พร้อมภาพและเสียงของคุณสตีเวนส์ “เจสัน เธอคงจำได้ที่ปู่พูดว่า คุณแฮมิลตันเขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของปู่ “เพื่อน” เป็นคำที่จะถูกใช้อย่างง่ายๆ และพร่ำเพรื่อโดยผู้ที่ไม่รู้ความหมายของมัน...ปู่จำได้ว่าตอนอายุ ๔๘ ปี ปู่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะมีไข้สูงมาก พวกหมอวินิจฉัยว่า ปู่เป็นโรคไตชนิดที่เป็นกันน้อยมากและรักษาไม่หาย ความหวังเดียวที่จะรอดก็คือ การปลูกถ่ายไต ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในเวลานั้น และผู้บริจาคก็หายาก ปู่จึงได้ให้คุณแอมิลตันซึ่งเป็นทนายประจำตัวค้นหาไตจากทั่วประเทศให้ปู่ สองวันต่อมาคุณแฮมิลตันก็โทรมาบอกว่าได้ไตแล้วจากชายฝั่งตะวันออกของประเทศ การผ่าตัดประสบผลสำเร็จและคืนชีวิตให้ปู่ แต่ที่ปู่แน่ใจว่าเธอเดาไม่ถูกแน่และไม่มีใครรู้มาจนถึงเดี๋ยวนี้ก็คือ ไตที่คุณแฮมิลตันหาได้นั้นเป็นไตของเขาเอง”
“มีเพียงทางเดียวในโลกที่สามารถอธิบายเรื่องทำนองนี้ได้ นั่นคือ มิตรภาพ เจสัน ตอนนี้ปู่รู้ว่าเธอคิดว่าเธอมีเพื่อนมากมาย แต่ความจริงแล้ว มีคนจำนวนมากที่ต้องการเพียงแค่เงินของเธอ หรือสิ่งอื่นๆ ที่เงินจะซื้อได้...ในระหว่าง ๓๐ วันต่อจากนี้ ปู่ต้องการให้เธอใช้เวลามากๆ เพื่อคิดและสังเกต ปู่ต้องการให้เธอค้นหาสิ่งที่เธอรู้สึกว่าสามารถเป็นหลักพื้นฐานของมิตรภาพที่แท้จริง และปู่ต้องการให้เธอรายงานต่อคุณแฮมิลตันถึงตัวอย่างของมิตรภาพอันแท้จริงที่พิสูจน์หลักการของเธอได้ เจสัน ชีวิตเธอไม่มีทางจะก้าวหน้าหากไม่พัฒนาความเข้าใจเรื่องมิตรภาพและไม่ดูแลรักษามิตรภาพให้เจริญขึ้น”
ในวันสุดท้ายของเดือน เจสันรายงานว่า “เท่าที่ผมอธิบายได้ มิตรภาพเกี่ยวข้องกับความซื่อสัตย์ ความผูกพัน และกระบวนการที่ประกอบด้วยการแบ่งปันชีวิตกับอีกคนหนึ่ง ที่จริงมันลึกซึ้งกว่านั้น แต่ยากที่จะกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ ตัวอย่างคือ เรื่องที่กัส คอลเวลส์เล่าตอนที่ผมไปทำงานให้เขาในเทกซัส เขาอธิบายว่า เมื่อเขาและปู่เรดเริ่มทำงานในธุรกิจปศุสัตว์ พวกเขามีฟาร์มห่างจากกันหายไมล์ แต่พวกเขาและเจ้าของฟาร์มอื่นๆ ต่างก็ใช้ทุ่งเลี้ยงวัวร่วมกัน ในฤดูใบไม้ผลิแต่ละปี ทุกฟาร์มจะมาทำสิ่งที่เรียกว่าการต้อนแบ่งฝูง ซึ่งก็คือการรวบรวมวัวของตัวเองและประทับตราลูกวัวที่เกิดหลังจากการต้อนแบ่งฝูงปีที่แล้ว รู้ได้จากการที่ลูกวัวมักเดินตามแม่ของมันไปทุกที่ ดังนั้นเมื่อแต่ละฟาร์มมารวบรวมฝูงวัว ตัวแทนจากฟาร์มที่มาประทับตราจึงรู้ได้ว่าลูกวัวตัวไหนเป็นของตนโดยดูจากตราที่ตัวแม่”
“คุณคอลด์เวลล์ห่วงว่าคุณปู่เรดจะทำฟาร์มไม่สำเร็จ ระหว่างการต้อนแบ่งฝูงในปีหนึ่งกัสจึงประทับตราลูกวัวจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นของเขาด้วยตราของคุณปู่เรด เขาบอกว่า เขาคิดว่าเขาสามารถให้วัวมากกว่า ๓๐ ตัวแก่ปู่เรดด้วยวิธีนี้ แต่เมื่อสิ้นสุดการแบ่งฝูง พอกัสมานับวัวที่มีตราของตัวเอง เขาพบว่าแทนที่จะมีลูกวัวน้อยลง ๓๐ ตัว ตามที่คาดไว้ เขากลับมีลูกวัวมากขึ้นเกือบ ๕๐ ตัว เขาสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งเมื่อได้ไปตกปลากับคุณปู่เรด คุณปู่บอกกับกัสว่า ครั้งแรกปู่ห่วงว่ากัสจะไปไม่รอด ปู่ไม่อยากเสียมิตรและเพื่อนบ้านที่ดีที่สุดไปจึงได้ประทับตราลูกวัวจำนวนหนึ่งของปู่ด้วยตราของกัส ...ผมรู้ว่าต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อสร้างมิตรภาพแบบนั้น แต่ผมคิดว่าถึงอย่างไรมันก็คุ้มค่า อย่างที่คุณทราบ ผมได้รู้จักกับไบรอันและได้เปลี่ยนเครื่องยนต์ให้เขาใหม่ หลังจากนั้นเราก็ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างร่วมกัน และผมหวังว่า สักวันหนึ่งเราจะได้เป็นเพื่อนกันเหมือนกัสกับคุณปู่เรด และผมหวังว่า ผมจะเป็นเพื่อนที่ดีได้เช่นเดียวกับที่คุณเป็นเพื่อนกับปู่เรด”
(โปรดติดตามตอนต่อไป...)
พรข้อที่ ๑ พรแห่งการงาน (คนที่รักการงานของตน ย่อมไม่รู้สึกลำบากในการทำงาน)
พรข้อที่ ๒ พรแห่งเงินตรา (เงินไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากเป็นเครื่องมือ มันเป็นได้ทั้งพลังในทางที่ดี พลังในทางชั่ว หรือไม่ก็เป็นเพียงสิ่งไร้สาระ)
พรข้อที่ ๓ พรแห่งการมีเพื่อน (คนที่ร่ำรวยจริงๆ คือคนที่รวยเพื่อน ไม่ใช่รวยเงินทอง)
ขอบคุณมากค่ะสำหรับผู้เขียนบทความและขอบคุณพรทั้ 3 ข้อ อย่างมาก...มายค่ะ..... จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนและคนใกล้ชิด....ลูก เพื่อน สามี (ที่บอกแล้วไม่คอยเชื่อ...ได้ของแถมอีกคือ การเถียงเรานะคะ)
ขอบคุณมากสำหรับบทความดีดีนี้นะคะ
ปู่สอนดีมาก
เป็นยอดคุณปู่เลย
ไม่ยอมตามใจหลาน
อยากเห็นคุณปู่แบบนี้เยอะๆจัง