...
วันพรุ่งนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ไปจนถึงบ่ายเย็น ๆ ยูมิปรากฏกายอยู่ในเมืองนครศรีธรรมราช เพราะเดินทางไปถวายความรู้ให้แด่พระนิสิต ระดับ ป. โท สาขาพระพุทธศาสนา ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช มีจำนวนมวลพระนิสิตรวมทั้งฆราวาสมาลงทะเบียนเรียนถึง 40 รูป / คน ที่พิเศษไปกว่ารุ่นก่อน ๆ เพราะรุ่นนี้มีครบเรียกว่า พุทธบริษัท 4 เพราะมีพระภิกษุ พระภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ( แม่ชี ) ถือว่าเป็นบุญกุศลประการหนึ่งที่ได้มาถวายความรู้ สำหรับพระภิกษุณีนามว่า พระภิกษุณีภัททากัจจานา บุณยเกียรติ , แม่ชีจินตนา ฉลองเนตรสดใส , แม่ชีนิวภา เพชรทอง เป็นต้น
พระภิกษุณีภัททากัจจานา บุณยเกียรติ
สิ่งที่น่าสนใจเรียนรู้คือวิถีความเป็นมาของนักบวชผู้หญิง ที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา คงได้อภิปรายกันในชั้นเรียนเพื่อความรู้ความเข้าใจให้ถ่องแท้ เรื่องราวของพระภิกษุณีนี้ ตามกิพีเดีย สารานุกรมเสรี กล่าวถึงประวัติพระภิกษุณีดังนี้...
บรรยากาศในชั้นเรียน
ภิกษุณี (บาลี: ภิกฺขุณี; สันสกฤต: ภิกฺษุณี; จีน: 比丘尼) เป็นคำใช้เรียกนักบวชหญิง ในพระพุทธศาสนา คู่กับ ภิกษุ ที่หมายถึงนักบวชชายในพระพุทธศาสนา คำว่า ภิกษุณี เป็นศัพท์ที่มีเฉพาะในพระพุทธศาสนา โดยเป็นศัพท์บัญญัติที่ใช้เรียกนักบวชหญิงในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ไม่ใช้เรียกนักบวชในศาสนาอื่น
ภิกษุณี หรือ ภิกษุณีสงฆ์ จัดตั้งขึ้นโดยพระบรมพุทธานุญาต ภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนาคือพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี โดยวิธีรับคุรุธรรม 8 ประการ ในคัมภีร์เถรวาทระบุว่าต่อมาในภายหลังพระพุทธเจ้าได้ทรงอนุญาตวิธีการอุปสมบทภิกษุณีให้มีรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น จนศีลของพระภิกษุณีมีมากกว่าพระภิกษุ โดยพระภิกษุณีมีศีล 311 ข้อ ในขณะที่พระภิกษุมีศีลเพียง 227 ข้อเท่านั้น เนื่องจากในสมัยพุทธกาลไม่เคยมีศาสนาใดอนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามาเป็นนักบวชมาก่อน และการตั้งภิกษุณีสงฆ์ควบคู่กับภิกษุสงฆ์อาจเกิดข้อครหาที่จะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อการประพฤติพรหมจรรย์และพระพุทธศาสนาได้ หากได้บุคคลที่ไม่มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นนักบวช
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่ปรากฏว่ามีการตั้งวงศ์ภิกษุณีเถรวาทขึ้นในประเทศไทย อย่างไรก็ตามในประเทศพุทธเถรวาทที่เคยมี2หรือไม่เคยมีวงศ์ภิกษุณีสงฆ์ในปัจจุบัน3 ต่างก็นับถือกันโดยพฤตินัยว่าการที่อุบาสิกาที่มีศรัทธาโกนศีรษะนุ่งขาวห่มขาว ถือปฏิบัติศีล 8 (อุโบสถศีล) ซึ่งเรียกโดยทั่วไปว่า แม่ชี เป็นการผ่อนผันผู้หญิงที่ศรัทธาจะออกบวชเป็นภิกษุณีเถรวาท แต่ไม่สามารถอุปสมบทเป็นภิกษุณีเถรวาทได้[1] โดยส่วนใหญ่แม่ชีเหล่านี้จะอยู่ในสำนักวัดซึ่งแยกเป็นเอกเทศจากกุฎิสงฆ์
ภิกษุณีสายเถรวาทซึ่งสืบวงศ์มาแต่สมัยพุทธกาลด้วยการบวชถูกต้องตามพระวินัยปิฎกเถรวาท ที่ต้องบวชในสงฆ์สองฝ่ายคือทั้งภิกษุสงฆ์ และภิกษุณีสงฆ์ ได้ขาดสูญวงศ์ (ไม่มีผู้สืบต่อ) มานานแล้ว คงเหลือแต่ภิกษุณีฝ่ายมหายาน (อาจริยวาท) ที่ยังสืบทอดการบวชภิกษุณีแบบมหายาน (บวชในสงฆ์ฝ่ายเดียว) มาจนปัจจุบัน ซึ่งจะพบได้ในจีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น และศรีลังกา1
ปัจจุบันมีการพยายามรื้อฟื้นการบวชภิกษุณีในฝ่ายเถรวาท โดยทำการบวชมาจากภิกษุณีมหายาน และกล่าวว่าภิกษุณีฝ่ายมหายานนั้น สืบวงศ์ภิกษุณีสงฆ์มาแต่ฝ่ายเถรวาทเช่นกัน[2] แต่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าฝ่ายมหายานมีการบวชภิกษุณีสืบวงศ์มาโดยมิได้กระทำถูกตามพระวินัยปิฎกเถรวาท และมีศีลที่แตกต่างกันอย่างมากด้วย ทำให้มีการไม่ยอมรับภิกษุณี (เถรวาท) ใหม่ ที่บวชมาแต่มหายานว่า มิได้เป็นภิกษุณีที่ถูกต้องตามพระวินัยปิฎกเถรวาท และมีการยกประเด็นนี้ขึ้นเป็นข้ออ้างว่าพระพุทธศาสนาจำกัดสิทธิสตรีด้วย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะพระพุทธเจ้าได้อนุญาตให้มีภิกษุณีที่นับเป็นการเปิดโอกาสให้มีนักบวชหญิงเป็นศาสนาแรกในโลก เพียงแต่การสืบทอดวงศ์ภิกษุณีได้สูญไปนานแล้ว จึงทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถบวชสตรีเป็นภิกษุณีตามพระวินัยเถรวาทได้ . ( http://th.wikipedia.org/wiki )
เกี่ยวกับเรื่องพระภิกษุณี ยูมิได้เรียนถามนักพูดดังนาม ส.ศิวรักษ์ ณ ห้องประชุมชั้น 2 หอสมุด ม. ทักษิณ เมื่อวันศุกร์ ที่ 29 มิ.ย. 55 ช่วงใกล้เวลาพระฉันเพล ท่านได้ให้ข้อมูลเป็นประโยชน์ต่อมุมคิดเรื่องนี้มาก.
...........................................
บรรณานุกรม
ที่มา วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ( อินเทอร์เน็ต ) . ภิกษุณี . สืบค้นเมื่อ วันที่ 30 มิถุนายน 2555 . จาก
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%B5