บันทึกแรก : อยากเขียน


กรุงเทพ รถไฟฟ้า ความเหงา

จู่ๆ ผมก็นึกอยากเขียนบล็อกตอนสองทุ่มครึ่งเมื่อวาน ขณะที่ผมยืนอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุช   ผมพบว่าผมอยู่ท่ามกลางเสียงเครื่องจักร จากรถยนต์และจากการก่อสร้างคอนโดมิเนียม  “เฮ้ย..ผมไม่ได้ยินเสียงลมพัดเลย”  นั่นแหละ... แค่นั้นจริงๆที่ทำให้ผมอยากเขียนอะไรต่อมิอะไร  ถ้าจะให้ยอมรับตรงๆก็คือ ตอนนั้นผมรู้สึกกลัว กลัวว่าตัวเองจะหลงทางอยู่ในกรุงเทพมหานครนี่  เออ...ถ้าเกิดผมเขียนบันทึกอะไรไว้ แล้วเกิดผมหลงกรุงขึ้นมาจริงๆ ในอนาคตอาจจะมีคนเอาเรื่องของผมไปทำหนังชื่อเรื่องประมาณ Lost in Angels’ City ก็ได้นะ

หลังจากนอนคิดมาทั้งคืน เช้านี้ ผมตัดสินใจที่จะเขียน   เขียนอะไรก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่า มันอาจจะไม่มีสาระมากมาย และคนอ่านก็คงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้อ่านบทความวิชาการจากงานเขียนของผมหรอก

เกือบจะครบเดือนอยู่แล้ว ที่ผมได้เข้ามาทำงานในกรุงเทพอีกครั้ง แม้จะแค่บางวัน หลังจากที่ย้ายออกไปจากกรุงเทพเมื่อ 5 ปีก่อน แม้จะไม่เคยคิดว่าจะต้องกลับมาทำงานที่เมืองนี้อีก เพราะสำหรับผม กรุงเทพเป็นเหมือนเมืองทางผ่าน ผ่านไปไหนที่ไกลๆจนกระทั่งสุดขอบโลก และ เป็นทางผ่านกลับบ้านแค่นั้นเอง ผมเคยคิดอย่างนั้นนะ  แต่เมื่อตระหนักว่าผมจะต้องมาใช้ชีวิตบางส่วนในเมืองนี้ ความแปลกแยกก็เริ่มก่อตัวขึ้น  ผมต้องเรียนรู้ที่จะคุ้นเคยกับเมือง ทำความคุ้นเคยกับเสียงเครื่องยนต์รอบๆตัว ที่ทำให้ผมไม่ได้ยินเสียงลมพัด  ทำความคุ้นเคยกับการยืนอยู่ในรถไฟฟ้าที่ไม่มีใครสบตาใคร  และทำความคุ้นเคยกับความเป็นไปในเมืองที่ผู้คนพลุกพล่านแห่งนี้

 หลังจากผ่านความตื่นเต้นที่จะต้องมาใช้บริการรถไฟฟ้าอีกครั้ง สิ่งที่ผมรู้สึกได้อย่างหนึ่งก็คือ ใครๆก็รู้สึกเหงาในเมืองนี้  ช่วยบอกผมหน่อยว่าจริงหรือเปล่า หรือผมแค่คิดไปเอง  หลักฐานที่ยืนยันความรู้สึกของผมก็คือ ขณะที่รถไฟฟ้ากำลังวิ่งไปข้างหน้า ผู้คนส่วนใหญ่มองออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความเร็วของรถไฟฟ้า คุณคงไม่ทันได้จ้องอะไรได้นานๆหรอกใช่ไหม เพราะทุกอย่างจะเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่ผู้คนอีกจำนวนหนึ่ง ก้มหน้าก้มตาอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์ในมือ แหม..ผมคงไม่เสียมารยาทถึงขั้นชะโงกหน้าไปดูหรอกนะครับว่าเขาดูอะไรกันอยู่ แต่เชื่อว่าถ้าไม่ใช่ facebook ก็คง Line หรือไม่ก็ WhatsApp  ซึ่งนั่นก็แปลว่า การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในเครื่องมือสื่อสาร สำคัญต่อชีวิตในช่วงขณะที่โดยสารรถไฟฟ้าแน่ๆใช่ไหม

และแน่นอน มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่กำลังทำท่าสะลึมสะลือหลับใหล เอ่อ..อาจจะไม่ได้ทำท่าหรอก อาจจะหลับจริงๆก็ได้

นั่นแหละครับหลักฐานที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ผู้คนในเมืองนี้ต่างรู้สึกเหงา แล้วผมจะไปยุ่ง(เสือก)กับพวกเขาทำไม ก็ต้องบอกว่า เมื่อผมจำเป็นต้องเข้ามาอยู่ในเมืองนี้  ผมจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจกับสิ่งรอบๆตัว ก่อนที่จะถูกกลืนหายไปกับความเดียวดายที่แฝงตัวอยู่ในผู้คน ไม่อย่างนั้น สุดท้ายแล้ว ผมก็คงเป็นแค่อีกคนที่มองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟฟ้าอย่างไร้ความหมาย

ผมพยายามนึกนะครับ ว่าจะมีวิธีไหนที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพได้โดยไม่ต้องรู้สึกเดียวดาย การพูดคุยกับผู้คนผ่านเครื่องมือสื่อสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น facebook, Line, WhatsApp คงเป็นหนทางที่คนยุคเราเลือกใช้ ว่าแต่ว่ามันดีที่สุดแล้วจริงๆหรือ มันช่วยปลดปล่อยให้เราหลุดพ้นจากความเหงาลึกในใจได้จริงๆหรือ เพราะถ้ามันใช่ คุณป้าขายข้าวแกงที่ริมบันไดทางขึ้นรถไฟฟ้าก็คงต้องพกไอโฟนด้วยใช่ไหม !!

(วันพฤหัสบดี ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๕)

หมายเลขบันทึก: 492771เขียนเมื่อ 28 มิถุนายน 2012 17:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 มิถุนายน 2012 09:41 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

มาเชียร์ให้เขียนต่อค่ะ จะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน

ขอบคุณ คุณชลัญธรครับ แต่ดูเหมือนที่ผมเขียนจะไม่ใช่องค์ความรู้นะครับ -_- ไม่รู้จะเป็นประโยชน์กับคนอ่านหรือเปล่า

เมืองใหญ่ผู้คนมากมายแต่ไม่รู้จักกัน ไม่แม้แต่จะสบตา หนอ!! 

ชาวสวนคนหนึ่งมาช่วยเชียร์ให้เขียนอีกคนค่ะ;)

อย่างน้อยผมคนหนึ่งที่เปิดอ่านบ้นทึกในG2Kของใครๆในแท็บเล็ตครับ เป็นกำลังใจครับ

เมื่อเริ่มนับหนึ่งได้แล้ว.. สอง สาม สี่ จะตามมาค่ะ จะรออ่านบันทึกต่อไป เป็นกำลังใจให้นะคะ..

 

ÄÄÄÄÄÄ...มารออ่านเจ้าค่ะ..เขียนต่อ.ได้เลย..มีวิธีไหน..ที่จะไม่เดียวดาย.กับ.กรุงเทพ...และ..เราจะหลุดจากความเหงาลึกในใจ..ยังไง..เนียะ...(ยายธี)

  • เวลาเหงาๆ โลกออนไลน์ก็ช่วยได้...
  • แต่ยังไงก็คงไม่เท่าได้ face to face ค่ะ เพราะเราได้เห็นทั้งตัวแบบเป็นๆ ได้ยิน ได้เห็น และได้สัมผัส
  • มีความสุขกับการอยู่เมืองกรุงนะคะ ^^
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท