วันต่อมาเขาขับผ่านมาทางเดิมอีก จำต้นไม้ต้นนี้ได้ และรู้สึกว่าพวงมาลัยเก่าที่เขาแขวนไว้ มันมีจำนวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แสดงว่าอาจมีคนอื่นมาแขวนทิ้งไว้ด้วย
หนึ่งเดือนถัดมา เมื่อเขาผ่านมาทางนี้ ก็พบว่าต้นไม้ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปมาก นอกจากพวงมาลัยแขวนอยู่เต็มต้นไม้แล้ว ยังมีผ้าสีต่างๆ พันอยู่รอบต้นไม้ด้วย พร้อมกับมีผู้คนจำนวนหนึ่งจุดธูปเทียนและนั่งไหว้อยู่รอบๆ ต้นไม้นั้น เขานึกยิ้มในใจ คนพวกนี้ช่างงมงายสิ้นดี มันเริ่มจากพวงมาลัยของเขาแท้ๆ
เดือนที่สี่ เมื่อเขาขับผ่านบ่อยขึ้น เห็นรถบีบแตรกันเกือบทุกคัน เขาจึงต้องบีบแตรตามรถคันอื่นๆ ไปด้วย
ผมจำเค้าโครงเรื่องได้อย่างชัดเจนในหัวสมอง ถึงแม้ว่าจะเคยอ่านเจอมันเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว จนจำไม่ได้ว่าอ่านจากหนังสือเล่มใด ผมแต่งมันขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งจากเค้าโครงเรื่องดังกล่าว เพราะชอบเรื่องนี้มาก (ไม่งั้นคงไม่จำมาจนถึงทุกวันนี้) มันค่อนข้างสะท้อนวิธีคิดแบบไทยๆและแทรกอารมณ์ขันแบบยิ้มในใจไว้นิดๆไม่มีคำอธิบายต่อ ลองคิดต่อและช่วยให้ความเห็นครับ
ผมคิดว่าความเชื่อเป็นเสมือนดังเข็มทิศให้กับชีวิตนะครับถ้าจิดใจเข้มแข็งมีความเชื่อถูกต้องก็จะนำทางชีวิตเราให้ประสบสิ่งดีๆครับ แต่ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งก็จะไม่สามารถผ่านอุปสรรคไปได้ดังเช่นนิทานเรื่องพราหมณ์แบกแพะ ที่ไม่มีจิตใจหนักแน่นยอมทิ้งแพะไปเพียงเพราะเชื่อคนพาล...