วันที่ 12 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ร่วมเดินทางไปประชุม ณ อบต.ท่าม่วง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
การประชุมดังกล่าว เป็นการประชุมร่วมระหว่างโครงการอนุรักษ์ใบลานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ร่วมกับภาคส่วนชุมชนท่าม่วง ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจาก อบต. ผู้แทนจากโรงเรียนในท้องถิ่น ผู้แทนฝ่ายสงฆ์ ปราชญ์ชาวบ้าน และคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมร่วมเพื่อต่อยอดโครงการ “สร้างชุมชนต้นแบบด้านการอนุรักษ์เอกสารโบราณ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชนท่าม่วงฯ ปีที่ 3" โดยก่อนหน้านั้นมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยโครงการอนุรักษ์ใบลานภาคตะวันออกเฉียงเหนือและพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยฯ จัดกิจกรรมบริการวิชาการควบคู่กับการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมในชุมชนแห่งนี้มาแล้ว 2 ปีต่อเนื่อง เช่น
เบื้องต้นต้องยอมรับว่าสองปีที่ผ่านมานั้น กิจกรรมดังกล่าวก่อเกิดเป็นพลังของการสร้างชุมชนอยู่มากโข เป็นการผนึกกำลังของ “บ้าน-วัด-โรงเรียน” ได้อย่างลงตัว จนปัจจุบันชุมชนได้มุ่งมั่นในการจะจัดตั้งหลักสูตรท้องถิ่นและศูนย์การเรียนรู้ชุมชน โดยใช้ “ใบลาน” เป็นประเด็นของการจุดประกาย
ผมชื่นชอบกระบวนการของวันนี้อยู่มากเหมือนกัน
เพราะแทนที่จะพูดถึงเรื่องราวที่จะทำขึ้นใหม่ในปีนี้อย่างตรงไปตรงมา
แต่ทีมงานจากมหาวิทยาลัยฯ กลับค่อนข้างใจเย็น
พยายามชวนให้ทุกคนในเวทีแห่งนั้นได้ร่วมใจ "ทบทวน”
การดำเนินงานในรอบสองครั้งที่ผ่านมา
ถึงแม้จะเป็นการ AAR ที่ไม่สดนัก แต่จากการสะท้อนแนวคิด
หรือข้อมูลต่างๆ นั้นก็ถือว่ามีความแจ่มชัดอยู่มาก –
สำหรับประเด็นที่เกี่ยวกับ “จุดอ่อน” การดำเนินงานในรอบที่ผ่านมานั้น ผู้เข้าร่วมประชุมได้สะท้อนออกมาอย่างเป็นมิตรด้วยประเด็นหลักๆ คือ
ขณะที่ “จุดแข็ง” ของการดำเนินงาน ก็สะท้อนออกมาด้วยเช่นกัน คือ
หลังกระบวนการ AAR เสร็จสิ้นลง
เวทีการประชุมก็นำเข้าสู่ประเด็นของการโสเหล่เพื่อกำหนดรูปแบบกิจกรรมที่จะจัดขับเคลื่อนขึ้นใหม่
หรือต่อยอดในห้วงเดือนมิถุนายน-กันยายน 2555
ซึ่งต่างมีมุมมองที่สอดคล้องกันทั้งจากชุมชนและมหาวิทยาลัย
เช่น
บังเอิญในห้วงหนึ่งของการโสเหล่นั้น
ผมได้รับเชิญให้แสดงความคิดเห็นร่วมกับผู้คนในเวที
ซึ่งผมก็ได้สะท้อนทัศนะของตนเองไปอย่าง “จริงจังและจริงใจ”
ในหลายประเด็นทำนองว่า
ครับ-นอกจากนั้น
ผมยังแสดงทัศนะเกี่ยวกับการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์/ศูนย์เรียนรู้อย่างตรงไปตรงมาว่า
ในปีนี้งบประมาณอาจไม่สามารถทำดำเนินการในเชิงโครงสร้างอาคารใดๆ
ได้ แต่ชุมชนอาจต้องวิเคราะห์ตนเองว่ามีศักยภาพ
หรือความพร้อมในเรื่องเหล่านี้แค่ไหน
โดยระยะแรกนี้อาจเน้นที่การสร้างองค์ความรู้และจัดทำฐานข้อมูลไว้ให้เป็นรูปธรรมเสียก่อนก็ได้
และท้ายที่สุดแล้ว ภายหลังได้ความชัดเจนในเรื่องหมุดหมายการทำงานว่าจะมีกิจกรรมอะไรบ้าง ที่ประชุมมอบหมายให้มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จัดทำแผนการขับเคลื่อนกิจกรรมอีกรอบ เพื่อนำมาหารือร่วมกับชาวบ้านกันอีกซักครั้ง ซึ่งผมก็มองว่าไม่น่าจะยากเย็นอะไร ก่อนสัญจรลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมชม “ต้นลาน” ที่เคยปลูกไว้เมื่อปีที่แล้วในป่าดงหัน-
นี่คือกระบวนการลงชุมชนในอีกสไตล์หนึ่ง
ที่แทนที่จะดุ่มเดินไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ
แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันกลับมาทบทวนร่องรอยการทำงานในครั้งที่ผ่านมาร่วมกันในกลุ่ม
“ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย”
เพื่อคลี่คลายบางอย่างและต่อยอดในบางอย่างให้เข้มแข็งและมีพลัง
อ้าว ! อาจารย์คะ กลายเป็น มมส.จัดทำแผนขับเคลื่อนกิจกรรมเหรอคะ
เปล่าครับ พี่ ทพญ.ธิรัมภา
คำว่าขับเคลื่อนหมายถึง ภายหลังที่ตกลงร่วมกันแล้วว่ามีกิจกรรมอะไรบ้างที่ต้องต่อยอดกันที่นี่ ที่ประชุมจึงมอบหมายให้ มมส.กลับไปทำแผนอันหมายถึงระยะเวลาที่สมบูรณ์เป็นรูปธรรมมาอีกรอบ ซึ่งข้อมูลที่นำกลับไปทำนั้น ก็เป็นข้อมูลที่ภาคีในที่ประชุมได้สรุปร่วมกันนั่นแหละครับ ...
โดยล่าสุดก็เพิ่งคุยกันไปอีกรอบเมื่อ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา-
ขอบคุณครับ
เพิ่มเติมครับ พี่ทพญ.ธิรัมภา
ประเด็นที่ผมคิดว่าต้องทำกันยาวร่วมกับชุมชน คือหลักสูตร,ศูนย์เรียนรู้,เทคนิคการสอน, สิ่งเหล่านี้ อบต./โรงเรียน/ชุมชน/ หรือแม้แต่นักวิชาการภายนอก รวมถึง ม.ราชภัฏร้อยเอ็ด ก็ควรต้องเข้ามาร่วม ซึ่งผมคิดว่าจะนำเสนอต่อมหาวิทยาลัยอีกครั้ง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ชุมชน รวมถึงภาคีในชุมชน/ภาคส่วนในชุมชน ต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเกี่ยวกับ "ความพร้อม" ของตนเองในเรื่องนี้ครับ เป็นการทำงานร่วมกันแบบ "แตะมือ" ไม่ใช่ชุมชน "หงายมือรับสถานเดียว"
เยี่ยมมากค่ะอาจารย์ การร่วมมือกับชุมชน ทำให้ชุมชนเห็นความสำคัญ จะติดตามต่อไปนะคะ
เป็นตัวอย่างของ CSR ที่ดีมากๆ ของมหาวิทยาลัยเลยนะคะ
การที่จะพัฒนาหรือจะหยิบประเด็นอะไรบางอย่างของชุมชนหรือสังคม มาเป็นประเด็นในการเรียนรู้ที่จะนำมาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนนั่น สิ่งสำคัญคือการค้นหาศักยภาพของชุมชน หรือ SWOT การวิเคราะห์หาจุดแข็ง จุดอ่อน และปัจจุยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของงานนั้นก็คือศักยภาพ ว่า ชุมชน สังคม มีทุนหรือมีศักยภาพอะไร ที่จะนำมาเป็นโจทย์ในการพัฒนา โดยการทำให้ชุมชนได้เกิดการเรียนรู้และก็มีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น เป็นสิ่งที่ดีค่ะ อาจจะต้องเพิ่มโดยการแยกพื้นที่หรือวางผังพื้นที่ชัดเจน (ว่าพื้นที่นี้เป็นศูยน์การเรียนรู้วัฒนธรรมเกี่ยวกับภาษาเพื่อจัดเป็นพื้นที่อนุรักษ์เอกสารหรืออักษรโบราณ) โดยให้จัดเป็นพื้นที่สงวนโดยให้ชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแล เข้ามาใช้ และบุคคลภายนอกสามารถเข้าไปเรียนรู้ได้ จะดีมากค่ะ
สวัสดีครับ คุณRinda
ความต่อเนื่องในระยะที่ 3 นี้ เห็นได้ชัดว่ามหาวิทยาลัยฯ เริ่มพุง่ประเด็นไปยังชุมชนในเรื่องที่เกี่ยวกับการยืนหยัดด้วยตนเอง มากกว่าพึ่งพาปัจจัยการหนุนนำจากภายนอก เพราะนั่นคือทางออกของการพัฒนาตนเองที่สำคัญที่สุด
ตอนนี้ กำลังกระตุ้นให้ อบต. หรือแม้แต่โรงเรียน และเครือข่ายในชุมชน มีแผนพัฒนาในเรื่องเหล่านี้ร่วมกับชาวบ้าน เพราะเชื่อว่า นั่นคือการผนึกกำลังของชุมชนที่จะทำให้การพัฒนาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ-
สวัสดีครับ คุณ ชลัญธร
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะครับ
เวทีครั้งนี้ เป็นเวทีแรก เน้นการเปิดตัวโครงการ
ภายใต้การหารือ/โสเหล่ถึงสิ่งที่อยากทำร่วมกัน
โดยทบทวนเรื่องราวในอดีต พร้อมๆ กับการวิเคราะห์ศักยภาพชุมชนไปพร้อมๆ
กัน
โดยส่วนตัวผมมองว่า ความต่อเนื่องในครั้งที่ 3 นี้ น่าจะเป็นครั้งสำคัญที่ชุมชนต้องเรียนรู้และลงมือด้วยตนเองมากกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา
ขอบคุณครับ
ครับพี่ แผ่นดิน(พนัส)
ภาพชัด มองอะไรก็เห็น ดูอะไรก็อ่านออก เดินทางง่ายครับ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่มาจากการต่อยอดที่ชัดเจนครับ