เด็กชายผู้โดดเดี่ยว


เรื่องโดย ศศิธร ศรีแพงมน นักจิตวิทยา รพร.กุฉินารายณ์

เด็กชายผู้โดดเดี่ยว

          “ครอบครัว” สำหรับผู้เขียน…อบอุ่นเหมือนแสงแดดตอนเช้าในวันที่อากาศหนาว ชื่นใจเหมือนน้ำมะนาวโซดาปั่นในวันที่เหงื่อไหลเป็นทาง เป็นเรื่องเล่าที่ไม่มีวันจบ  แล้ว ครอบครัวของคุณเหมือนกับอะไร??

นั้นคือคำถามจากเด็กชายคนนี้เหมือนกัน “ครอบครัว” ของเด็กชายคนนี้ประกอบไปด้วยพ่อ แม่ พี่ชาย พี่สาว  ตัวเด็กเอง หลานอีกสองคนดูแล้วน่าจะเป็นครอบครอบที่อบอุ่น มีเรื่องสนุกเล่าสู่กันฟังไม่รู้จบ  

ถ้า!!!!ไม่เว้นเพียงแต่ว่า……..

               ครอบครัวนี้อยู่ในหมู่บ้านที่มียาบ้าระบาด พ่อแม่ค้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เล่นการพนันเป็นอาชีพหลัก พี่ชายถูกควบคุมตัวในเรือนจำแห่งหนึ่งเป็นเวลาสองปีเพราะคดีค้ายาบ้า แถมด้วยพ่อของเขากำลังจะถูกศาลตัดสินในคดีฆ่าคนตาย พี่สาวไม่ได้ทำงานเพิ่งเลิกกับสามีต้องเลี้ยงลูกฝาแฝดที่เพิ่งคลอด พร้อมกับลูกชายวัยกำลังซนอีก 1 คนเท่านี้ผู้อ่านคงพอจะเห็นภาพความสุขในปัจจุบันของเด็กคนนี้หรือเปล่า?? เขาน่าจะมีความสุขสมบูรณ์อยู่ไหม??

                 ขณะนั้นเขาอายุได้ประมาณ 13ปีถูกเลี้ยงแบบตามใจ ใช้เงินเป็นหลัก ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร กำลังจะเข้าม. 1 กำลังก้าวสู่วัยรุ่น กำลังมีความสุขกับการได้แตะฟุตบอล ได้เล่นสนุกกับเพื่อน มีความสุขจากการได้ทุกสิ่งที่ต้องการ กำลังจะได้เรียนรู้โลกใหม่ๆ แต่!!!สิ่งหล่านี้หาย!!!!!!!!!!หายไปในชั่วพริบตา

                เมื่อป่วยเป็น Encephalitis หรือภาษาบ้านๆเข้าใจง่ายคือ เป็นโรคสมองอักเสบ ทำให้กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง เดินไม่ได้ โดยที่เขาเข้าใจว่าเกิดจากการโดนพ่อทำร้าย ถ้าเป็นคุณจะรู้สึกอย่างไร ?

...................................................................................................................................................................      

                เด็กชายคนนี้จะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร ใครจะช่วยดูแลเขาได้บ้าง???

เหมือนอยู่คนเดียวกลางดึกพลัน มีพายุฤดูร้อนพัดมา ลมกระโชกแรงนั้นทำให้ตัวบ้านสั่นไหว เสียงเม็ดฝนโดนลมโหมกระน่ำใส่ตัวบ้าน ความกลัวในเสียงฝนเสียงลม ฟ้าร้องเสียงดัง ความสั่นไหวของตัวบ้าน ทันใดนั้นแสงไฟก็สิ้นไป ……………………มืดมน หวาดกลัว รอคอยแสงไฟ รอใครสักคน…………………

                เมื่อครั้งแสงไฟมา......

              มืดมนแค่ไหนมันก็ยังมีแสงสว่างอยู่เสมอ……พื้นที่ที่เด็กชายคนนี้อาศัยมีทีมเยี่ยมบ้าน เรียกว่าทีมไม้เลื้อย เป็มทีมสหวิชาชีพ หมอ พยาบาล นักกายภาพบำบัด เภสัชกร เป็นทีมของโรงพยาบาลเพื่อดูแลช่วยเหลือคนไข้ ติดตามประเมินอาการของผู้ป่วยถึงพื้นที่อาศัย                

                เด็กชายคนนี้คือหนึ่งในนั้นที่ได้รับการติดตามเยี่ยม ช่วยเหลือการฝึกกายภาพบำบัด ช่วยเหลือเรื่องยา เรื่องโรคทุกๆเรื่องที่ทางทีมจะช่วยได้ แรกๆหลังจากออกจากโรงพยาบาลเด็กชายคนนี้ยังมีหวังที่จะเดินได้ ได้รับการดูแลช่วยเหลือในการฝึกจากทางทีมเยี่ยมบ้านและจากพ่อฝึกยืนได้วันละประมาณ 1- 2 ชม.  ช่วยเหลือตนเองได้บางอย่าง เช่นทานอาหารเองได้ แปรงฟันได้เองทุกอย่างเหมือนกำลังเดินทางไปได้ดีแต่!! ด้วยอาชีพของพ่อแม่ ที่หาเงินไม่เป็นเวลาและอยู่ในความเสี่ยง และเขาเองมักจะรอให้พ่อช่วยเหลือในการฝึกเพราะเขาคิดว่าพ่อคือคนที่ต้องรับผิดชอบ เขาคิดว่าเขาป่วยเพราะพ่อ  และการที่พ่อแม่ทดแทนสิ่งที่เด็กชายคนนี้ขาดกลัวว่าเด็กจะเหงาย้ายโทรทัศน์เข้าไปไว้ในห้องของเด็ก น้ำ อาหาร  มีอยู่เต็มห้องเขาไม่ยอมออกจากห้องไม่ยอมออกจากบ้าน

และนี้คือผลที่เกิดขึ้น

เด็กขาดการฝึก เหตุผลของเด็ก  คือเด็กรอพ่อมาฝึกให้ แม่ พี่สาวไม่แข็งแรงเหมือนพ่อ (พ่อต้องรับผิดชอบที่พ่อทำผม)

พ่อหมดกำลังใจ เหตุผลของพ่อ คือน้องไม่ยอมฝึก น้องนอนดึก น้องไม่หายสักที น้องไม่ดีขึ้น

แม่ท้อแท้ใจ       เหตุผลของแม่   คือ น้องไม่ดีขึ้น ดื้อ ไม่ยอมฝึก อารมณ์รุนแรง พ่อไม่ยอมฝึกให้ลูก

ทีมท้อ เหนื่อย  เหตุผลของทีม  คือ case ไม่ก้าวหน้ามีแต่ถอยลง

และนั้นแหละในความมืดยังมีแสงสว่างแม้น้อยนิดแต่มันก็คือแสงสว่างที่อยู่กลางความมืด ทางโรงพยาบาลเปิดรับวิชาชีพใหม่เข้ามา นั้นคือ นักจิตวิทยาคลินิก …….ส่ง Case

                นักจิตมือใหม่ กับประสบการณ์ทำงานด้านเด็กพิเศษมาประมาณสองปี เด็กออทิสติก เด็กดาวน์ซินโดม เด็กแอลดี                     เด็กชายคนนี้ไม่เข้าข่ายสักเด็ก!!

 

บททดลองศักยภาพนักจิต

                ไปวันแรกบ่ายสองโมงครึ่ง น้องชายคนนี้ยังหลับอยู่ในห้อง ได้คุยกับพ่อน้องชายคนนี้เล็กน้อย

                                                                                 กลุ้ม!!

              ไปวันที่สองบ่ายๆเหมือนเคย น้องชายคนนี้ตื่นแล้ว ยอมคุยด้วยเล็กน้อย เริ่มสร้างสัมพันธภาพ

              ไปวันที่สามร่วมงานกับทีมไม้เลื้อยนักจิตก็ชวนพูดคุยไป สร้างความคุ้นเคยกับคนในครอบครัวไปทีมก็ฝึกน้องไป

                ทำแบบวันที่สามไปเรื่อยๆไปเยี่ยมน้องชายคนนี้แทบทุกอาทิตย์จนประมาณหนึ่งเดือน น้องเริ่มกลับมาฝึกยืนอีกครั้ง เริ่มใช้รถเข็น แต่!!  น้องมักก้าวร้าวด่าทอพ่อแม่เวลาปลุกมามาฝึก หงุดหงิดทุกครั้งที่ไม่ได้ของดั่งใจ

ถึงเวลาต้องคุย ใช้หลักการคล้าย Family therapy โดยการส่งผ่านข้อความจากพ่อถึงลูก จากแม่ถึงพ่อ จากลูกถึงพ่อ จากลูกถึงแม่ จากแม่ถึงลูก น้องชายคนนี้ได้เห็นน้ำตาของพ่อประมาณสามครั้ง ทำให้เกิดความเข้าใจ สภาพอารมณ์และสภาพจิตใจกันมากขึ้นพฤติกรรมก้าวร้าวลดลงแต่ยังมีอยู่

                จุดพลิกผันได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อ พ่อของน้องชายคนนี้ถูกตัดสินจำคุก 21 ปีข้อหาเจตนาทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ชีวิต  

                น้องมีภาวะ Depression จากการสูญเสียอย่างเห็นได้ชัดเป็นเวลาประมาณสามอาทิตย์ที่ทีมไม่ได้เข้าไปเยี่ยมน้องเพราะเป็นช่วงวันหยุดยาวติดต่อกัน เมื่อทีมไปถึงน้องเพิ่งได้อาบน้ำหลังจากที่ไม่อาบน้ำเป็นเวลาหลายวัน เพราะทุกคนในครอบครัวอยู่ในช่วงสูญเสีย น้องร้องไห้ทุกครั้งที่พูดถึงพ่อ

                นี้คือช่วงเวลาทองในการสร้าง Motivation ใช้หลักการถามและสะท้อนคำตอบ สะท้อนคำถามให้หาคำตอบเอง

นักจิต : ก่อนพ่อไปพ่อได้บอกอะไรไหม

น้องชายคนนี้ : ไม่ ครับ

นักจิต : เพราะอะไร พ่อถึงไม่บอกอะไร

น้องชายคนนี้ : พ่อคิดว่าพ่อจะได้กลับมา (ร้องไห้)

นักจิต : อยากไปเยี่ยมพ่อไหม

น้องชายคนนี้ : อยากไป แต่ไปไม่ได้

นักจิต : เพราะ อะไรเราถึงไปไม่ได้

น้องชายคนนี้ : ผมเดินไม่ได้ (ร้องไห้)

นักจิต : อืม….อยากไปเยี่ยมพ่อ แต่เดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็นแต่ไม่มีใครพาไป

น้องชายคนนี้ : อืม………………

นักจิต : ถ้าเราอยากให้กำลังใจพ่อเราจะทำอย่างไร

น้องชายคนนี้ : .................................................

นักจิต : แค่เราไปเยี่ยมพ่อก็ดีใจแล้ว แต่เราเลือกเอาว่าไปแบบนั่งรถเข็น หรือจะไปแบบ ยืน หรือเดินได้

น้องชายคนนี้ : ผมอยากเดินได้

นักจิต :งั้น เรามาช่วยกันอีกครั้ง พี่จะช่วยเรา เราก็ช่วยพี่เพื่อเป็นของขวัญให้พ่อ

น้องชายคนนี้ : ครับ

วันนั้นน้องให้ความร่วมมือดีมากพยายามยันตัวเองขึ้นเก้าอี้เลื่อน

ครั้งต่อมาได้นำเอาวิดิโอสร้างกำลังใจ เป็นสุนัขพิการที่พยายามเดินเอง หลังจากให้น้องดูก็ชวนน้องยืนเกาะราวหน้าต่างอีกครั้ง

และครั้งนี้เกิดพลังใจราวปาฏิหารแก่ทั้งสองฝ่ายทั้งทีมและน้องชายคนนี้

น้องยืนเกาะหน้าต่างได้นานประมาณครึ่งนาทีโดยไม่มีใครช่วย

  พระเจ้า!!!น้องยืนได้ ……………………………………………………………………….แม่ พี่สาว ยิ้มตาวาว

ทีมที่เยี่ยมวันนั้นโดยเฉพาะนักจิต…………ใจมันเต็มตัว อิ่มเอิ้ม เห็นเส้นชัยที่ยอดเขาอันแสนไกล

                        วันนั้นคือก้าวที่มั่นคงที่สุดตอนเท้าลงพื้นดิน เป็นผลตอบแทนจากความร่วมมือร่วมใจของทีมเยี่ยมบ้าน ผลจากการมีความหวัง มีความเชื่อ

                                                   ณ ตอนนนี้น้องยังนอนดึก ตื่นสาย เหมือนเดิม

                แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือ น้องมีกำลังใจ มี Empowerment  ,sell esteem  เพิ่มขึ้น พฤติกรรม Aggressive ลดลง

ทีมยังคงมีความหวัง ว่าน้องกำลังดีขึ้น  เรากำลังจับมือ พร้อมก้าวขา ไปพร้อมๆกัน ก้าวต่อไปเรื่อยๆเพื่อให้ทุกคนได้สัมผัส และเรียนรู้ที่อยู่กับสิ่งนั้น                  

 “รอยยิ้มที่เปี่ยมล้นมาจากใจ ที่ได้สัมผัสเส้นชัยบนยอดเขาสูงด้วยกัน”

หมายเลขบันทึก: 490715เขียนเมื่อ 10 มิถุนายน 2012 11:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 21:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เป็นกำลังใจให้น้องและทีมสหวิชาชีพค่ะ ^^

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท