ผมเองได้รับเกียรติให้เป็นผู้พิจารณาโครงการวิจัยพอสมควร ผมไม่มีหลักการใดๆ นอกจากดูในภาพรวมๆ ว่ามัน”พอ” เป็นไปได้ไหม ถ้าพอเป็นไปได้ ผมจะให้ผ่าน สถิติผมคือผ่านประมาณ 8 ตก 2 ทั้งที่ 8 ที่ผ่านนั้นส่วนใหญ่ (7) ผมไม่เห็นด้วย แต่ให้ผ่านด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น ขอเงินระดับต่ำ 1-5 แสนเท่านั้นเอง อย่างน้อยคงเป็นการสร้างนักวิจัยใหม่
แต่ละโครงการที่ผมให้ผ่านผมจะเขียนคอมเมนท์ยาวเหยียด แนะนำให้ปรับเป้าหมาย แนวทางการทำงานให้ดีขึ้น ปรับเทคนิคด้านทฤษฎีพื้นฐาน ส่วนคนที่ผมไม่ให้ผ่านนั้น ผมแทบไม่อยากเขียนอะไร เพราะไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เพราะมันแย่ไปหมดทุกมิติ แต่ก็พยายามเขียนให้มาก ให้เหตุผลเชิงลึกว่าที่ไม่ให้ผ่านเพราะมันบกพร่องแบบพิสูจน์ได้ง่ายๆ และสุดท้ายไม่ลืมให้กำลังใจว่าอย่าเพิ่งท้อนะ ขอให้พัฒนาตนขึ้นไปเรื่อยๆ
ส่วนโครงการของผมเวลาเสนอขอขึ้นไป มักตกเป็นส่วนใหญ่ เพราะเวลาผมเสนออะไรผมมีคติอยู่สองสามประการคือ ต้องเป็นนวัตกรรม ต้องดีกว่าของฝรั่ง ต้องมีประโยชน์ต่อสังคม ...ปรากฎว่าไอ้พวกผู้ประเมินมันตามไม่ทัน มันก็มักตีตกด้วยเหตุผลสั้นๆ โดยไม่ต้องมีการอธิบายพิสูจน์อะไรเช่น
-คงทำไม่ได้หรอก (มันคงเห็นผมเป็นเพียงครูบ้านนอกที่ไม่มีชื่อเสียงอะไร)
-คนอื่นเขาทำไว้แล้ว (ธ่อ...ผมก็สำรวจวรรณกรรมบอกไว้หมดแล้วนะว่า ไม่มี ผมเป็นคนแรกในโลก)
-ทำแล้วคงไม่คุ้มทุน (ได้ยินบ่อยที่สุด ทั้งที่ผมแจงไว้หมดว่า วิธีการของผมราคาถูก และ ประหยัดพลังงานมากกว่าวิธีการท้องตลาดอย่างไร)
ผมมาคิดว่าเออ...ก็ดีเหมือนกันที่มันไม่ให้ทุนเรา เพราะถ้าอย่างนั้นมันก็จะเอาเปรียบด้วยการขอเอี่ยวค่าสิทธิบัตร 50% (โคตรโลภเลย ให้เงินนิดหน่อยจะเอาค่าสิทธิบัตรขนาดนั้น กำไรล้านเท่าเลยนะเพ่)
จากนี้ไปผมจะไม่เสียเวลาขอสนับสนุนทุนจากไอ้พวกนี้อีกแล้ว หันมาจดสิทธิบัตรดีกว่า เพราะการจดสิทธิบัตรนั้นเขาจดความคิด โดยไม่ต้องมีการทดลองประกอบด้วยก็ได้
เสียแต่ว่าจดไปแล้ว พวกฝรั่งมันรู้หมด มันก็เอาไปดัดแปลงต่อยอดได้ ยกเว้นเราจดทั่วโลก ซึ่งต้องใช้เงินทุนมาก ลำพังกระเป๋าเราคงสู้ไม่ไหว นอกจากเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ
สิทธิบัตรบางตัวที่ผมกำลังจะจดแบบทั่วโลก เคยคำนวณว่า จะทำให้ผมได้รับเงินค่าสิทธิบัตร (2% ของยอดขาย) ประมาณ 8 แสนล้านบาทต่อปี (เป็นเวลา ๒๐ ปี) (ไม่ได้โม้....พิสูจน์ทดลองแล้วด้วยว่าทำงานได้จริงดังอ้าง) (แล้วทำไมผมต้องไปขอทุนมัน 1 ล้านบาทเพื่อให้มันมีส่วนแบ่ง 8 ล้านล้านบาทด้วยล่ะ) สิทธิบัตร อีกสองสามตัวอาจได้สักสองหมื่นล้านต่อปีต่อสิทธิบัตร (พิสูจน์ทดลองแล้วว่าได้ผลจริง)
ส่วนสิทธิบัตรระดับร้อยล้านพันล้านนั้น ผมไม่หวง และจะไม่จด แม้จดก็จดแต่เอากล่อง ไม่หวังเงิน ใครจะละเมิดก็ไม่ฟ้อง บางสิ่งเหล่านั้นได้นำลง gtk ให้ทราบกันทั่วแล้ว (ทำให้หมดสิทธิจดโดยปริยาย) เช่นเครื่องอบแห้งพลังแดด เครื่องเติมอากาศในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ และจะนำมาลงอีกนับสิบรายการเป็นระลอก ...ใครอยากรวย เอาไปทำเลยครับ ไม่หวง ขอให้สังคมได้ประโยชน์ ดีกว่าปล่อยให้มันตายไปพร้อมกับตัวผม
...คนถางทาง (๑๑-๕-๕๕)
โครงการวิจัยระดับ 10 ล้าน up จำนวนมากในประเทศไทย ไม่มีอะไรไหม่ เป็น technology demonstration เท่านั้นเอง แต่พวกนี้มักผ่านฉลุย เพราะเงินมาก คนให้ก็อยากให้โครงการใหญ่ๆ อยู่แล้ว เพราะขี้เกียจเหนื่อยมาพิจารณาโครงการเล็กๆ แถมถ้ามี kick back ก็ได้เป็นกอบเป็นกำ ....ส่วนไอ้คนขอมันก็ชอบขอมากๆ เพราะมักกำหนดกันว่า "ค่าตอบแทนนักวิจัย" ต้องไม่เกิน 30% ดังนั้นถ้ามันของมาก มันก็ได้ค่าตอบแทนมาก ...ผมเห็นบางโครงการมันขอ 20 ล้าน 50 ล้านหน้าตาเฉย ...ทั้งที่ไม่ทำอ่าอะไรเลย นอกจาก TD ...ซึ่งไปคลิกหาดูเอาในเน็ตก็ได้อีกต่างหาก ...ส่วนเราขอเศษเิงินล้านครึ่งล้านเอามาทำนวัตกรรมเพื่อประกาศศักดิ์ศรีคนไทยไปทั่วโลบก มันบอกไม่คุ้มทุน (ว่ะ)
ผมเคยเจอโครงการ "วิจัย" หนึ่ง ราคา 300 ล้านบาท พบเห็นตอนที่ผมไปธุดงค์แบบพระ มี demo หลายหมู่บ้านตามบ้านนอก ...คือแผงเซ็ลแสงแดดสูบน้ำให้ประชาชน .....ทุกหมู่บ้านที่ผ่านไป กลายเป็นที่ตากแห ตากลอบ ไซ ที่ราคาแพงที่สุดในโลก...แล้วแบบนี้ มันวิจัยอะไร...มันไม่ใช่ Development ด้วยซ้ำไป แต่มันระดับ commercial แล้วนะเนี่ย