ต้นไม้เหี่ยวๆกับคนรดน้ำ


ฉันทำไปได้อย่างไร ไม่เคย ไม่รู้ทำไมเป็นอย่างนั้น หรือว่า ฉันชาชินกับมันมากไป สุดท้ายกลายเป็นอย่างมัน

 

กว่าเดือนมานี้ผมงานยุ่งวุ่นวายเหลือเกิน เหนื่อย เหนื่อยมากจริงๆ บ้านที่ปลูกใหม่ไว้ก็ไม่มีเวลาไปดูแล ต้นไม้ปลูกเอาไว้ก็ไม่ได้ไปรดน้ำ ก็เลยจำใจต้องจ้างคนมารดน้ำต้นไม้ให้

 

ซึ่งก็ไม่ได้หามาง่ายๆนะครับ คนไทยหลายๆคนไม่ได้มีเงินพอใช้ แต่ก็ไม่ชอบทำงาน อยากทำแต่งานง่ายๆสบายๆแต่ความรู้ความสามารถไม่มี เราถึงต้องจ้างแรงงานต่างด้าวมากมาย ทั้งๆที่คนไทยอีกจำนวนมากไม่มีงานทำ มันทำให้เราเข้าใจความเป็นไทยได้เป็นอย่างดี และก็คงจะไม่แปลกใจเลย ที่อีกสักสิบปี พม่าจะเริ่มมาแรงแซงหน้าบ้านเรา เหมือนที่กำลังเกิดกับเวียดนาม

 

วันแรกผมก็ตามมาดูว่าเขารดน้ำต้นไม้ที่ผมรักยังไร ปรากฏว่าว่าต้นไม้แทบไม่โดนน้ำเลย รีบๆรดรีบๆไป ดินยังแห้งอยู่เลย ผมก็บ่นไป ต่อมาเล่นแอบมาเปิดน้ำทิ้งเอาไว้ทั้งวัน ให้น้ำท่วมบ้าน จนต้นไม้ผมสำลักน้ำเน่าตายไปเป็นแถบๆ ต้นไม้ไม่งามแถมมีหญ้าขึ้นเต็มบ้านไปหมด ผมก็บ่นให้เค้าฟัง คำตอบที่ได้คือ "สงสัยเด็กที่ไหนมาเปิดน้ำทิ้งไว้" เห้อ... ก็ไปได้นะ สรุปว่าต้นไม้ผมตายไปหลายต้นเลย บางต้นเพื่อนให้มา เป็นไม้หายาก บางต้นก็แพงน่าตกใจ สรุปผมต้องเลิกจ้างไปตามระเบียบ แบบนี้ละครับ การทำงานแบบไทยๆ

 

ตั้งแต่ผมทำงานมา ก็เจอแต่คนแบบนี้ ผมจ้างคนมาทำกันสาดเค้าก็ไม่ทาสีกันสนิมให้ผม พอบอกให้ทา ก็ทาแต่ส่วนที่ผมจะมองเห็นตรงไหนไม่เห็นมันก็ไม่ทา จ้างคนมาเดินท่อน้ำ จ่ายค่าท่อราคาท่อแบบหนา เค้าก็เอาท่อบางๆมาเดินให้ ตอนเราอยู่บ้านก็ไม่ทำ มาทำเอาตอนเราไม่อยู่บ้าน พอท่อฝังดินแล้วก็มองไม่เห็น อะไรอีกมากมายสารพัดเรื่อง มีแต่คนแบบนี้ทั้งนั้นเลย อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวนะครับ ไม่รวมเรื่องส่วนรวม แบบในตลาดสินค้าก็มีแต่ของค้ากำไร สารเคมี ฟอกขาว ฟอร์มารีน สารพัดจะใส่มาให้คน(อื่น)กิน นี่หล่ะครับ เมืองไทย น้ำใจไทย เมื่อก่อนผมไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้เท่าไรเลย แต่เวลาไม่กี่ปี ทำไมบ้านเมืองของเราถึงเปลี่ยนแปลงไปถึงเพียงนี้

 

อย่าว่าแต่คนอื่นที่ร้ายเลย ผมก็ร้าย มีลุงคนหนึ่งในสำนักงานย่อยของหน่วยงาน เขาไม่ทำงาน งานการไม่ทำแล้วยังชอบใส่ร้ายคนอื่นเพื่อให้ตนเองดูดี แต่เขาก็รอดตัวไปได้เสมอๆเพราะว่าเอาใจนายเก่ง ทำดีเอาหน้า ถ้าผู้ใหญ่เห็นล่ะ แกทำงานเอาเป็นเอาตาย วันหนึ่งจัดงานใหญ่ในสำนักงานย่อย ผู้ใหญ่ไปเปิดงาน ลุงแกก็ตามหน้าตาหลังนายตามเคย จับโน่นหยิบนี่ไม่หยุด ผมเห็นแล้วหมั่นไส้ ก็เลยแกล้งใช้ลุงยกของหนักๆแรงๆหลายอย่าง แก้ก็ทำเอาเป็นเอาตาย เพราะนายอยู่ตรงนั้นด้วย จะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะมันหน้าที่ของแก ซึ่งปกติอย่าว่าแต่ทำงานเลย แค่มาทำงานยังไม่มาเลย ผมใช้ลุงแกจนหอบเหงื่อท่วม คนที่รู้จักลุงแกดีต่างก็แอบอมยิ้มสะใจกันเป็นแถว ผมก็สะใจที่เอาคืนแกให้น้องๆที่โดนแกกลั่นแกล้งมาตลอด ผมทำไปแล้วกลับมามองตัวเอง เรานี่ก็เลวพอตัวเลยนะ ทำไมต้องไปตอบโต้ความเลวด้วยความชั่วด้วย ผมก็เพิ่งมาถามตัวเองก็ตอนเขียนบันทึกนี่หล่ะ และผมชอบเขียนก็เพราะเหตุนี้เอง

 

หรือนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมของเรา เราต่างกำลังตอบโต้แรงกริยาเลวๆด้วยแรงปฏิกริยาเฉกเช่นกัน เป็นเช่นนั้นหรือ??? ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อย่างนั้นหรือ??? "ก็ในเมื่อเราไม่ได้แค้นเคืองกันแล้วคุณมาทำกับฉันทำไม" ผมกำลังนึกถึงบทพูดในสปอร์ตโฆษณาต่อต้านบุหรี่ตัวหนึ่ง และบทเพลง "วันที่เลวร้าย" ของ "ป้าง" ก็กำลังดังอยู่ในหัวผม ที่มีเนื้อเพลงว่า

 

เฝ้ามองสิ่งรอบตัว ช่างเลวร้าย

แทบทน ไม่ไหวหัวใจที่บอบบาง


 
*ฉันเคยเกลียดคนที่ชั่วเลว
พวกที่แหลกเหลวและน่าชัง
ฉันเคยผิดหวังเพราะคนเหล่านี้
แต่แล้ว วันหนึ่งรู้ตัว
วันนี้มันช่างน่ากลัว เมื่อรู้ตัวว่าชั่ว
เมื่อรู้ว่าป็นตัวเอง

 
**ฉันทำไปได้อย่างไร ไม่เคย
ไม่รู้ทำไมเป็นอย่างนั้น
หรือว่า ฉันชาชินกับมันมากไป
สุดท้ายกลายเป็นอย่างมัน

 
รู้ตัวเมื่อสาย ฉันกลายเป็น
พึ่งจะได้เห็นถึงความจริง
เหมือนใครเข้าสิงให้ทำอย่างนั้น

 

ผมฟังเพลงนี้ตั้งแต่เด็กๆ และก็บอกกับตัวเองว่า... จงหยุดตัวเองไว้เพียงแค่ความเจ็บปวดจากความชั่วร้ายของคนอื่นที่กระทำกับตนเอง และอย่าทำอย่างคนพวกนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่แน่ใจตัวเองว่า ลงเอยแบบในเพลงรึเปล่า ที่พอโตขึ้นผ่านช่วงเวลาที่พลั้งเผลอไปก็พบว่า ตนเองนั้นก็ไม่แตกต่างจากผู้คนที่รายล้อมอยู่เท่าไรนัก

 

หรืออาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ได้ เหมือนในละคร "ดอกโศก" ที่คุณนายประดับพูดถึงดอกโศกเอาไว้ว่า "ฉันแปลกใจที่ถึงแม่ว่ายายของเจ้าจะเลี้ยงเจ้ามา แต่เจ้าก็ไม่ได้เป็นคนปากร้ายเหมือนยายของเจ้าเลย เจ้าคงไม่ชอบสิ่งที่ยายและคนที่บ้านเจ้ากระทำ เลยไม่ทำแบบนั้นใช่หรือไม่" คำพูดนี้คงตอบคำถามได้ว่าเด็กสลัมคนหนึ่งที่โตมากับครอบครัวที่เลวร้าย สิ่งแวดล้อมเลวๆถึงได้เป็นคนที่มีจิตใจดีงามได้ แต่ก็อย่างว่า ก็มันละครนี่นะ เอาว่าละครเรื่องนี้แม่แย่งแฟนจากลูก ก็แย่ล่ะ แต่... มันก็อาจเป็นกระจกสะท้อนถึงความเป็นจริงของสังคมก็ได้ หรือสังคมของเรา เป็นแบบนั้นแล้วจริงๆ "ไม่อยากจะเชื่อเลย" ก็เป็นอีกเพลงที่อยากได้ยินตอนนี้ แต่ว่า คำว่า "ไม่อยากจะเชื่อ" มันแปลว่า "คุณต้องเชื่อ เพราะมันคือความจริง"

 

 
หมายเลขบันทึก: 487428เขียนเมื่อ 8 พฤษภาคม 2012 15:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 กรกฎาคม 2012 13:56 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

หายไปนานครับอาจารย์...กำลังคิดถึงและรออ่านบันทึกครับ

ที่สิงคโปรร์เมื่อสิบกว่าปีก่อนงานทำความสะอาด ก่อสร้าง รับจ้างทั่วไป คนใช้ คนที่นี่ก็ไม่ค่อยมีใครอยากทำค่ะ เพราะงานหนักรายได้น้อย ชาวแขกบังคลา ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ชาวอินโด และคนไทย คนพม่ามาทำกัน พอมากันมากขึ้น มาตั้งรกรากที่นี่ เรียนรู้ พัฒนาตัวเอง จากแรงงานธรรมดา มีมากที่กลายเป็นเจ้านายคนไป ตอนนี้หลายๆ คนที่นี่ขอให้รัฐจำกัดจำนวนแรงงานต่างชาติที่นำเข้ามา เพื่อให้โอกาสคนท้องถิ่นได้มีงานทำก่อน เมืองไทยคงจะเป็นอย่างนี้ในอีกไม่นาน

หวังว่าสักวันเราจะคิดกันได้ว่างานหนักไม่เคยฆ่าคน..

สวัสดียามดึกค่ะ

ชอบสบาย ง่าย ไว้ก่อน

ต้องช่วยกันสอนลูกหลานเรานี่ละค่ะ ให้เป็นคนไทยที่เป็นความหวังของชาติได้

คุณ นกขมิ้นไม่น่า ไปแกล้งเค้าเลยนะ ทำไปเพื่ออะไรกัน..... มันจะกลายเป็นว่า สุดท้ายก็กลายเป็นอย่างนั้น...ตามเพลง......... ที่สำคัญมันจะเป็นเวรกรรมติดตามเราไป.. ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้า ทรงประชวรและกระหายน้ำมาก ขอน้ำพระอานนท์ แล้วพระอนุชาก็ไปหาน้ำตามแหล่งน้ำ แต่ไปที่ใด น้ำก็ขุ่น จึงเดินไปเรื่อยๆ เพื่อหวังจะให้พระพุทธเจ้าได้ดื่มน้ำใส แต่ไปถึงบ่อแล้วบ่อเล่าก็ไม่เจอน้ำใสเสียที จนพระศาสดาเกือบทนไม่ไหวต่อการกระหายน้ำ ด้วยความที่พระองค์มีอภิญญา จึงกำหนดใจให้พระอานนท์ได้หยุดตักน้ำนั้นเสียที เมื่อพระอนุชาตักน้ำขึ้นมาน้ำจากขุ่นมัว ก็ใสทันที จนพระอานนท์แปลกใจในการครั้งนั้น เมื่อพระอานนท์กลับมา จึงถวายน้ำ และพระพุทธเจ้า ก็ทรงเล่า ถึงอดีตชาติของพระองค์เองแก่พระอนุชา ว่า..ครั้งหนึ่งในอดีตชาติ เคยเป็นคนเลี้ยงวัวมาก่อน วัวหิวน้ำ จึงพาวัวไปกินน้ำตามลำธาร แต่น้ำมันขุ่น ก็หวังจะให้วัวได้กินน้ำใส เลยเดินไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอน้ำใส ปล่อยให้วัวหิวไปก่อน โดยยังไม่ให้มันกิน ทั้งที่วัวมันหิวจนจะไม่มีแรงเดินอยู่แล้ว............ด้วยกรรมหรือการกระทำเพียงแคนี้ โดยหวังดีจะให้วัวได้กินน้ำใส แต่กรรมนั้นเป็นหน่วยวัดที่เที่ยง จึงทรงต้องมารับกรรม ด้วยกรณีที่ใช้ให้พระอานนท์ไปหาน้ำมา เช่นนี้เอง

เล่าให้คุณนกขมิ้นฟัง จะได้ไม่เผลออีกไง..แต่ถึงยังไงก็ยังคิดได้ ไม่งั้นคงไม่เขียนได้ออกมาทำนองนี้ ใช่มั้ย.. ขนาดเขียนถึงต้นไม้เหี่ยวๆ แต่คนที่อ่านไม่รู้สึกเหี่ยวไปตามตามดอกไม้เลย เล่าเรื่องได้สนุกมาก น้องคูณ เป็นอย่างไรบ้าง โตหลายแล้วสิ พูดได้หรือยัง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท