บทที่ ๓
ในบทที่ 2 ก่อนจะจบบทนั้นผมได้กล่าวว่า เวลาเราวิเคราะห์มาตรฐานช่วงชั้นนั้น เราต้องวิเคราะห์ออกมาให้เห็นภาพชัดเจนว่า จะให้ใคร ทำอะไร แค่ไหน อย่างไร เพราะสิ่งเหล่านี้จะผูกพันไปถึงการตั้งจุดประสงค์การเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ต่อ ๆ ไปจนถึง กิจกรรมการเรียนรู้และสาระการเรียนรู้
ในมาตรฐานช่วงชั้นนั้น มักจะกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ชัดเจน หรือกล่าวอีกมุมหนึ่งว่า “มาตรฐานช่วงชั้นจะกำหนด ทักษะกระบวนการเรียนรู้ไว้ชัดเจน พร้อม ๆ กับ กำหนดสถานการณ์เรียนรู้ไว้ด้วย” เช่น
“สังเกต สำรวจ ตรวจสอบ เปรียบเทียบ ความแตกต่างระหว่างมีสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต โครงสร้างและหน้าที่ของโครงสร้างต่างๆ ของพืชและสัตว์ในท้องถิ่น ที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน”
ลองพิจารณาดูให้ดีว่า ทักษะกระบวนการเรียนรู้ที่กำหนดให้นั้น จะมีความเนื่องต่อกันอย่างลูกโซ่ ที่ผู้สอนจะต้องฝึกฝนผู้เรียนให้คนรอบคอบ คือจะต้องเป็นนักสังเกตที่ลุ่มลึกไม่ใช่มองผ่าน ๆ อย่างผิวเผิน ต้องเพียรพินิจเจาะลึก สำรวจ ตรวจสอบ แล้วนำผลมาเปรียบเทียบ ระหว่างกันเพื่อที่จะหาว่า
นั่นคือ ทักษะที่แฝงเข้ามาในทักษะการสำรวจ การสังเกต การตรวจสอบ การเปรียบเทียบ โดยเฉพาะสองทักษะหลังนี้ ประเด็นคำถามทั้ง 4 ข้อ นั้นสามารถนำมาใช้ได้ นั่นคือ ผู้เรียนจะต้องดึงทักษะการวิเคราะห์มาพินิจพิจารณาข้อมูลที่ได้มาทั้งหมด ถอดรหัสออกว่า มีอะไรร่วมกันบ้าง นำมาเปรียบเทียบให้เกิดความชัดเจน สร้างหลักเกณฑ์และหลักการพิจารณาให้ชัด เมื่อได้ข้อมูลมา สามารถนำมาสังเคราะห์ จัดหมวดหมู่ สรุปเป็นตำราวิชาการของผู้เรียนที่เขียนมาด้วยตนเองได้
ส่วนเรื่องราวที่นำมาเรียนรู้นั้น เรียกว่า สถานการณ์ หมายความว่า ทั้ง 4 ทักษะคือ การสังเกต สำรวจ ตรวจสอบ เปรียบเทียบนั้นผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ในสถานการณ์ของเรื่องสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต ที่จะต้องดูให้ลึกถึงสถานการณ์ของ
ความแตกต่าง
โครงสร้าง
หน้าที่ของโครงสร้าง
ของพืชและสัตว์ในท้องถิ่นที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต ในสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน
นั่นหมายถึงว่า ในสถานการณ์(เรื่องนั้น ผู้เรียนจะต้องใช้กลวิธีเรียน ที่จะสามารถสืบค้นข้อมูลมาได้โดยการสังเกต สำรวจ ได้มาแล้วต้องตรวจสอบ แล้วนำข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบเรียบร้อยแล้วมาเปรียบเทียบ เมื่อได้ผลสรุปมาก็ดำเนินการวิเคราะห์ สังเคราะห์ สรุปเป็นองค์ความรู้ จัดทำเป็นตำราเรียนเขียนด้วยผู้เรียน “เอง”
องค์ความรู้ใหม่นั้น หมายถึง การที่ผู้เรียนไปสืบค้นข้อมูลความรู้ด้วยทักษะการเรียนรู้ ที่ตนถนัดหรือที่ได้รับการมอบหมายแล้วนำข้อมูลความรู้นั้น วิเคราะห์ เจาะลึกเรื่องราวสนใจใคร่รู้ แล้วนำมาสังเคราะห์ข้อมูลความรู้เหล่านั้น จนกระทั่งเกิดอาการลุกโพลง ขึ้นเป็นปัญญาของผู้เรียน ตัวลุกโพลงที่เป็นปัญญาของผู้เรียนนี่แหละ คือ ความรู้ใหม่หรือองค์ความรู้ของผู้เรียนคนนั้น ไม่ใช่มาจากการบอก จด จำ แต่มาจากการกระทำด้วยตนเองจริง ๆ จนรู้อย่างแจ่มแจ้งเฉพาะตน เป็นความรู้ใหม่ที่ซ้อนทับกับความรู้เดิมที่มีอยู่ กลายเป็นว่าผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ ๆ ที่ต่อยอดออกมาจากเรื่องราวความรู้เดิมที่ตนมีอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ ผู้เรียนก็จะเป็นผู้รู้จริง ๆ จะสามารถอธิบายได้ว่า
1. สิ่งที่รู้เพิ่มขึ้นมากับความรู้เดิมที่มีอยู่แล้วนั้น มีสิ่งใดที่ร่วมกันบ้าง ร่วมกันอย่างไร
2. สิ่งที่ร่วมกันนั้น มีจุดสำคัญตรงไหน แบบใด
3. สิ่งที่หรือข้อมูลเดิมกับข้อมูลใหม่ที่เราเรียนรู้ได้นั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไรบ้าง
4. สิ่งที่มาร่วมกันนั้นมีอะไรเป็นหลักเกณฑ์และหลักการร่วมกัน
มาถึงตอนนี้ เราจะเห็นได้ว่า ตลอดเวลาที่มีการเรียนรู้มีทักษะหนึ่งที่ผู้เรียนจะต้องนำใช้ตลอดเวลา คือ ทักษะการวิเคราะห์ ผมคิดว่า ทักษะนี้เราต้องฝึกฝนให้เป็นนิสัยการเรียนรู้ ของผู้เรียน
ผมได้ลองเก็บข้อมูลทักษะการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้รับการกำหนดให้เรียนรู้ในมาตรฐานช่วงชั้นที่ 1-3 ในสาระวิชาวิทยาศาสตร์อย่างคล่าว ๆ ดังนี้
ทักษะการสังเกต ทักษะการสำรวจ ทักษะการสืบค้น ทักษะการทดลอง ทักษะการเปรียบเทียบ ทักษะการตรวจสอบ ทักษะการอภิปราย ทักษะการอธิบาย
ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะการสังเคราะห์ ทักษะการประเมินค่า ทักษะการนำใช้ ทักษะการจัดกลุ่ม ทักษะการบันทึกข้อมูล ทักษะการตั้งคำถาม ทักษะการวางแผน ทักษะการสร้างสถานการณ์
ทักษะกระบวนการเรียนรู้ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งจำเป็นที่คุณครูจะต้องฝึกฝนให้ผู้เรียนเรียนรู้โดยการปฏิบัติจริง สามารถนำใช้ในชีวิตจริงได้จริง ๆ คุณครูจะต้องฝึกฝนจนผู้เรียนเกิดความช่ำชอง สามารถนำทักษะหนึ่งทักษะใดมาใช้ในชีวิตจริงได้ตรงกับสถานการณ์นั้น ๆ
ทักษะกระบวนการเหล่านี้ ผู้เรียนสามารถนำไปใช้เฟ้นหาความรู้ที่ตนต้องการได้
โลกปัจจุบันนี้ ความรู้มีอยู่มากมาย เรียนรู้ได้ไม่หมด และความรู้นั้นเกิดใหม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ถ้าหากผู้เรียนมีความสามารถในการนำทักษะการเรียนรู้มาใช้เฟ้นหาความรู้ตามที่ตนต้องการได้ก็เหมือนกับแพทย์แผนโบราณเดินเข้าไปในป่าสมุนไพร โดยที่ตนมีความรู้ความชำนาญ ด้านการเลือกใช้ตัวยาสมุนไพรจากพืชในป่าเหล่านั้นจะสามารถนำมาเลือกเด็ด ดึงต้นยามาใช้ได้ตรงกับโรค ได้ตรงกับจุดประสงค์
มาถึงตรงนี้ก็จะมีคำถาม ถามว่า “จะทำอย่างไรที่จะให้ผู้เรียน สามารถเรียนรู้ลักษณะกระบวนการเหล่านี้ได้ ตรงตามสถานะของผู้เรียนแต่ละกลุ่มแต่ละคนได้” คำถามนี้มีความสำคัญมาก สำหรับคุณครูและพ่อแม่ผู้ปกครอง เพราะถ้าสามารถฝึกฝนให้เยาวชนของชาติรู้วิธีการเรียนรู้ได้จริงแล้ว ก็เท่ากับจัดการกับชีวิตการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ครึ่งหนึ่งและนั่นหมายถึงว่า จำเป็นแล้วที่จะต้องฝึกให้ลูก หลาน ลูกศิษย์ของเรา เรียนรู้วิธีการเรียนรู้
การที่จะฝึกให้ผู้เรียนเรียนรู้วิธีการเรียนรู้ได้นั้น ผู้สอนต้องตอบคำถามได้ว่า จะรู้เพียงใด อย่างไร ตรงนี้สำคัญมาก เพราะความชัดเจนของระดับการเรียนจะส่งผลสู่ความชัดเจนของระดับการวัดประเมินผล
ผมเองนั้นได้ออกแบบการวิเคราะห์ตัวบ่งชี้ของกิจกรรมการเรียนรู้หรือวิธีการเรียนรู้ แต่ละตัว แต่ละระดับเอาไว้ ซึ่งในที่นี้จะยกตัวอย่างให้ดูเพียงตัวอย่างเดียว คือ
ตารางที่ 3 ตัวบ่งชี้ของพฤติกรรมการเรียนรู้ทักษะการสังเกต
ชั้น ป.1 |
ชั้น ป.2 |
ชั้น ป.3 |
ดู แล้วสอบถามชื่อ ดู อย่างพิจารณา ดู ความแตกต่าง ดู สภาพที่อยู่อาศัย นำสิ่งที่ตั้งใจดูมาบอกเล่า/วาดรูปหรือนำภาพถ่ายมานำเสนอ |
ตั้งใจดู สิ่งทีกำหนดให้แล้วสืบค้นชื่อของสิ่งนั้น ตั้งใจดู ลักษณะรูปร่าง ความต่าง-เหมือนของสิ่งนั้น ตรวจวัด ลักษณะรูปร่าง ความแตกต่างของสิ่งนั้น ตรวจดูอย่างตั้งใจ ถึงที่อยู่ ที่ตั้ง ลักษณะที่อยู่ ที่ตั้งของสิ่งนั้น ตรวจและแยกแยะ ความเหมือน – ต่าง พร้อมบอกหลักเกณฑ์ หลักการการแยกแยะ นำบันทึกข้อมูลที่เรียนรู้ มานำเสนอ |
วางแผนการสังเกต ปฏิบัติงานตามแผนด้วยความตั้งใจดู -ลักษณะความเป็นอยู่ -ความเหมือน-ต่างกัน -กำหนดหลักเกณฑ์ หลักการการพิจารณาลักษณะความเหมือน-ต่างกันของสิ่งนั้น -นำข้อมูล คุณลักษณะเฉพาะของสิ่งนั้นที่ตรวจสอบจากแหล่งความรู้เดิมมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ตั้งใจดูมา นำมาอภิปรายหาข้อสรุปร่วม จัดทำเป็น “หนังสือเรียนเขียนด้วยเด็ก” และนำเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ |
ชั้น ป. 4,5,6 |
วางแผนการสำรวจ ปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ นำผลการปฏิบัติมาร่วมอภิปราย สรุป ตั้งคำถามใหม่ เพื่อจะตรวจสอบ และหาข้อมูลเพิ่มเติม ดำเนินการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม ตอบคำถามที่ตั้งไว้ใหม่ นำผลการเรียนรู้มาร่วมอภิปราย สรุป ถ้าข้อมูลความรู้เป็นที่พอใจ เขียนเป็นตำราวิชาการของการค้นพบใหม่ มีการอ้างอิงความรู้เดิมจากแหล่งเรียนประกอบการเขียน ถ้ายังไม่พอใจ ตั้งคำถามและดำเนินการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมจนเป็นที่น่าพอใจ
|
จะเห็นได้ว่า ตัวบ่งชี้ถ้าลงรายละเอียดปลีกย่อยได้มากเท่าไร จะเป็นผลดีต่อการนำมาสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผล กับจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและรวมถึงการสร้างจุดประสงค์การเรียนรู้ที่จะสอดรับซึ่งกันและกัน
มีข้อน่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ของผมเอง คือ พฤติกรรมการเรียนรู้ หรือทักษะการเรียนรู้หนึ่งใดนั้น ถ้าหมั่นฝึกฝนจนรู้ลึก รู้จริงแล้ว เมื่อนำใช้ค้นหาความรู้จะได้ข้อมูลความรู้ที่ลึกซึ้ง กว้างขวางและละเอียดอ่อนกว่าผู้ที่ขาดทักษะการเรียนรู้ หรืออ่อนเชิงต่อทักษะการเรียนรู้นั้น ๆ
เวลาที่คุณครูจะเขียนตัวบ่งชี้หรือจุดประสงค์การเรียนรู้หรือประเด็นการวัดและประเมินผล คุณครูควรชำเลืองดู หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานก่อนว่า ได้กำหนดจุดเน้น แต่ละช่วงชั้นว่าอย่างไรบ้าง เช่น
“ช่วงชั้นที่ 1 และ 2 ........มุ่งเน้นให้ผู้เรียนพัฒนาคุณภาพชีวิตกระบวนการเรียนรู้ทางสังคม ทักษะพื้นฐานด้านการอ่าน การเขียน การคิดคำนวณ การคิดวิเคราะห์ การติดต่อสื่อสารและพื้นฐานความเป็นมนุษย์ เน้นการบูรณาการอย่างมีสมดุล ทั้งในด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคมและวัฒนธรรม”
(หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2544 : 3 )
“ช่วงชั้นที่ 3 ......มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสำรวจความสามารถ ความถนัด ความสนใจของตนเอง และพัฒนาบุคลิกภาพส่วนตน พัฒนาความสามารถทักษะพื้นฐานด้านการเรียนรู้ ความคิด ความสามารถ ความดีงามและรับผิดชอบต่อสังคม สามารถสร้างเสริมสุขภาพส่วนตนและชุมชน มีความภูมิใจในความเป็นคนไทย ตลอดจนใช้เป็นพื้นฐานในการประกอบอาชีพหรือศึกษา ต่อ…..”
(หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2544 : 10)
โดยที่หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน : 2544 ได้วางแนวการจัดการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้นไว้ว่า
“ช่วงชั้นที่ 1 ......สถานศึกษาต้องจัดการเรียนรู้ให้ครบทุกกลุ่มสาระในลักษณะการบูรณาการที่มีภาษาไทยและคณิตศาสตร์เป็นหลัก เน้นการเรียนรู้ทางสภาพจริง มีความสนุกสนาน ได้ปฏิบัติจริง เพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ ทักษะพื้นฐานการติดต่อสื่อสารในการคิดคำนวณ การคิดวิเคราะห์ พัฒนาลักษณะนิสัยและสุนทรียภาพ...”
( หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน : 2544 : 22 )
“ช่วงชั้นที่ 2......มุ่งเน้นทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม การสอนแบบบูรณาการ โครงงาน การใช้หัวเรื่องในการจัดการเรียนการสอน หรือมุ่งให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการคิด การค้นคว้าหาความรู้ สร้างความรู้ด้วยตนเอง สามารถสร้างสรรค์ผลงานแล้วนำไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่น”
( หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน : 2544 : 22 )
“ช่วงชั้นที่ 3....ควรเน้นการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานมากขึ้น เพื่อมุ่งให้ผู้เรียนเกิดความคิด ความเข้าใจและรู้จักตนเองในด้านความสามารถ ความถนัด เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่อาชีพ....”
( หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน : 2544 : 23 )
และในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้นั้น หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานก็ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า
“....การวัดและประเมินผลระดับชั้นเรียน มีจุดมุ่งหมายสำคัญของการประเมินระดับชั้นเรียน คือ มุ่งหาคำตอบว่า ผู้เรียนมีความก้าวหน้าทั้ง
ด้านความรู้
ทักษะกระบวนการ
คุณธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์ อันเป็นผลเนื่องมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หรือไม่เพียงใด.....
....ดังนั้น การวัดและประเมินจึงต้องใช้วิธีการที่หลากหลาย เน้นการปฏิบัติให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนและสามารถดำเนินการอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปในกิจกรรมของผู้เรียน...”
( หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน : 2544 : 24-25 )
ถ้าหากคุณครูอ่านจุดเน้น และแนวทางการจัดการเรียนรู้ ที่หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดไว้ โดยใช้ดุลยพินิจ พิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้วจะเห็นว่า
จุดประสงค์การเรียนรู้
การวัดและประเมินผล
กิจกรรมการเรียนรู้
จะต้องลงสู่คลองเดียวกัน จึงจะไปกันได้ ดังนั้น ทุกครั้งที่คุณครูจะสอบ คุณครูจะต้องจัดกิจกรรมนำสอนก่อน สอนจนผู้เรียนรู้และเข้าใจแล้วจึงจะสอบ แต่ทั้งนี้ไม่ใช่นำข้อสอบมาสอน แต่หมายถึงว่า เรื่องที่สอนนั้น ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้มาก่อน ไม่ใช่สอนอย่างหนึ่งแต่สอบอย่างหนึ่ง เพราะการสอบและการสอน ซ่อนอยู่ข้างในเป็นหนึ่งเดียวนั่นคือ
ทุกครั้งที่สอนจะต้องมีการสอบ
ทุกครั้งที่สอบจะต้องมีการสอน
อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ https://docs.google.com/docume...